มร. กุสตาโว ฮิลเดนแบรนด์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูเม็กซ์ จำกัด (ประเทศไทย) ผู้ผลิตนมผงระดับพรีเมี่ยมคุณภาพสูงสำหรับเด็ก เปิดเผยว่า “ดูเม็กซ์ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินพันธกิจหลัก ในการเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่อยู่เคียงข้างคุณแม่ทั่วโลก เพื่อมอบโภชนาการที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็กเล็กที่กำลังเติบโตใน 3 ปีแรก ซึ่งไม่เพียงแต่มีพัฒนาการทางร่างกายและสมองเท่านั้น แต่รวมไปถึงระบบภูมิต้านที่มีการทำงานร่วมกันกับระบบอื่นๆ ของร่างกายก็จะมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วในช่วงอายุนี้ ทั้งนี้ มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วระบุว่า ภูมิต้านทานจะสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับร่างกายได้ดี ก็ต่อเมื่อได้รับโภชนาการที่ดีในสัดส่วนที่เหมาะสม”
“ปัจจุบันคุณแม่ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับพัฒนาการทางสติปัญญาของลูกมาก จนมองข้ามพัฒนาการทางร่างกายไป สุขภาพที่ดีย่อมมีผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ทางสมองและร่างกายของเด็ก แต่หากลูกรักไม่สบายบ่อยครั้ง ก็อาจส่งผลให้เด็กขาดความต่อเนื่องของพัฒนาการที่สมวัยได้ การ “ติดเชื้อ” เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ซึ่งหากไม่ได้รับการป้องกันหรือรักษาตั้งแต่เริ่มต้น ก็จะสามารถพัฒนาเป็นโรคร้ายแรงจากการติดเชื้ออื่นๆ ได้ง่าย เพราะเด็กในช่วงอายุ 3 ปีแรก มีระบบภูมิต้านทานและพัฒนาการต่างๆ ของสมองและร่างกายยังพัฒนาไม่เต็มที่นั่นเอง”
จากผลการวิจัยโดยสถาบันนิวทริเซียผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านโภชนาการวัยแรกเริ่มของชีวิต ได้ทำการวิจัยกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กสุขภาพดีที่มีอายุระหว่าง 1-3 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็กเล็ก ไม่เพียงแต่พัฒนาการทางด้านสมองเท่านั้น แต่รวมไปถึงพัฒนาการของระบบภูมิต้านทานอีกด้วย ทั้งนี้ สถาบันวิจัยนิวทริเซียได้ติดตามภาวะการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเด็กในวัยดังกล่าว จำนวน 767 คน ที่ได้ถูกฝากเลี้ยงในศูนย์ดูแลเด็กเล็ก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน ใน 5 ประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเซีย รวมถึงประเทศไทยเป็นเวลา 1 ปี
โดยผลการวิจัย พบว่า เด็กที่ได้ดื่มผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ที่มีส่วนผสมของ 2 สารอาหารสำคัญ ได้แก่ พรีไบโอติก-อาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ GOS/lcFOS ในสัดส่วน 9:1 ปริมาณ 6 กรัม/วัน และ DHA กรดไขมันที่สำคัญในกลุ่มโอเมก้า 3 ในปริมาณ100 มก.ต่อวัน (หรือนมที่มีดีเอชเอ 34 มก.ต่อ 1 หน่วยบริโภคหรือแก้ว (225 มิลลิลิตร)ในปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน 3 แก้ว) จะมีความเสี่ยงการติดเชื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ มากกว่าเด็กกลุ่มที่ดื่มผลิตภัณฑ์นมที่ไม่มีส่วนผสมดังกล่าว
มร. ฮิลเดนแบรนด์ กล่าวต่อไปว่า “ด้วยความเชี่ยวชาญของสถาบันวิจัยนิวทริเซียที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกในด้านโภชนาการที่เปี่ยมด้วยคุณค่าสำหรับวัยแรกเริ่ม ผสานกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ Hi-Q Super Gold ผลิตภัณฑ์นมพรีเมี่ยม จึงนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมโภชนาการ Hi-Q 1 Plus Super Gold with DHA 34 mg. ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพของ 2 สารอาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม ได้แก่ พรีไบโอติก GOS/lcFOS ในสัดส่วน 9:1 และเพิ่ม DHA ขึ้นถึง 34 mg ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงที่สุดในนมสำหรับเด็กในตลาดขณะนี้ จึงนับเป็นนมสูตรที่ดีที่สุดของ HI-Q Super Gold ที่เราตั้งใจมอบให้เป็นผู้ช่วยเสริมสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงยิ่งกว่า เพื่ออนาคตที่ดียิ่งขึ้นของเด็กไทย ให้เด็กน้อยในวันนี้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง พร้อมด้วยสติปัญญาที่พร้อมจะพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ ในวันข้างหน้า (Today for Tomorrow) ขณะเดียวกันก็ยังเป็นการช่วยกระตุ้นการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์นมพรีเมี่ยมในประเทศไทยด้วย”
นอกจากนี้ Hi-Q Super Gold ยังมีการจัดทำแคมเปญและการส่งเสริมการตลาดทุกรูปแบบ ภายใต้กลยุทธ์การตลาด 360? ต่อเนื่องทั้งปี โดยทุ่มงบการตลาดสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอีก 20% ผ่านการสร้างสรรค์สื่อประชาสัมพันธ์ที่หลากหลาย ทั้งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ สื่อสิ่งพิมพ์ บิลบอร์ด ออนไลน์ รวมถึงจัดกิจกรรมเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ณ จุดขายทุกช่องทาง ภายใต้แนวคิด Today for Tomorrow: Lay Even Stronger Foundation for Future Success เพื่อให้เข้าถึงคุณแม่ทุกคนที่พร้อมจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย เพื่อความสำเร็จของพวกเขาในอนาคต (Lay even stronger foundation for future success) รวมถึงการแนะนำสถาบันวิจัยนิวทริเซีย ผู้ที่อยู่เบื้องหลังวิทยาศาสตร์โภชนาการของ Hi-Q Super Gold บนบรรจุภัณฑ์ด้วย
ตลาดนมผงสำหรับเด็กมีมูลค่า 25,000 ล้านบาท โดยตลาดพรีเมี่ยมมีสัดส่วน 68% ปัจจุบัน Hi-Q ครองส่วนแบ่งตลาดนมพรีเมี่ยมอยู่ราว 28% โดยมีอัตราการเติบโตสองหลักตลอด 4 ปีที่ผ่านมา