นายสมนึก บำรุงสาลี อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้นำคณะสื่อมวลชนเดินทางศึกษาดูงานในพื้นที่ อ. ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเยี่ยมชมแหล่งพลังงานและโครงการพัฒนาพลังงานทดแทน ซึ่งประกอบด้วย แหล่งน้ำมันฝาง แหล่งน้ำมันดิบบนบกแห่งแรกของไทย พร้อมเยี่ยมชมศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนการสำรวจ ขุดเจาะ และผลิตน้ำมันอย่างครบวงจร และศึกษาการนำพลังงานความร้อนจากใต้พิภพมาผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพฝาง
นายสมนึก เปิดเผยว่า “จากการศึกษาดูงาน ณ แหล่งน้ำมันฝางพบว่า ในปัจจุบันมีอัตราการผลิตน้ำมันดิบเฉลี่ย ๑,๑๐๐ บาร์เรลต่อวัน โดยหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของกรมการพลังงานทหาร คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วนั้นมีค่ากำมะถันสูงกว่า ๕๐ มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าที่กรมธุรกิจพลังงานประกาศไว้ กรมพลังงานทหารจึงจำหน่ายให้ผู้ค้าเพื่อส่งออกนอกประเทศ โดยผ่านการพิจารณาจากกรมธุรกิจพลังงานที่ดำเนินการกำกับดูแลตรวจสอบปริมาณการผลิตและการจำหน่ายผ่านการออกหนังสือรับรองการให้ ความเห็นชอบ ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทยได้กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่ใช้ในประเทศเป็นมาตรฐานยูโร 4 ซึ่งสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อสุขภาวะที่ดีของประชาชน”
นายสมนึกกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่กรมธุรกิจพลังงานจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เพื่อสร้างความตระหนัก ปลูกจิตสำนึกและสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้น้ำมันอย่างรู้คุณค่าและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด การศึกษาดูงาน ณ แหล่งน้ำมันฝางครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า น้ำมันที่ผลิตได้จากการกลั่นน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันฝางมีคุณภาพไม่ตรงกับมาตรฐานน้ำมันที่ใช้ในประเทศและผลิตได้จำนวนน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในขณะที่ปัจจุบันความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นในแต่ละประเภทโดยน้ำมันเบนซินมีปริมาณการใช้เฉลี่ยวันละ ๒๒.๔๑ ล้านลิตร ส่วนน้ำมันดีเซล มีปริมาณการใช้เฉลี่ยวันละ ๕๙.๒๘ ล้านลิตร จึงเป็นเหตุผลที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ กว่าวันละ ๘๕๖.๔๑ พันบาร์เรล/วัน มีมูลค่ากว่า ๙๕.๕๑ ล้านบาท/วัน ซึ่งรวมการนำเข้า LPG วันละ ๔.๓๓ ล้าน กก. ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้า ๑๒๗.๔๕ ล้านบาท/วัน ซึ่งนับว่าเป็นการขาดดุลทางการค้าของไทย เพราะในขณะเดียวกันไทยสามารถส่งออกได้เพียงประมาณ ๑๑๒.๔๘ พันบาร์เรล/วัน ดังนั้น ควรถึงเวลาส่งเสริมให้ประชาชนประหยัดน้ำมันอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของการนำเข้าน้ำมัน อันเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเศรษฐกิจของประเทศ และมีพลังงานใช้อย่างยั่งยืนสืบไป”
หมายเหตุ : ข้อมูลสำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ นายพิชยา นุ่นพันธ์ /e-mail : [email protected]