ผู้บริหาร KTIS ขอให้นักลงทุนเชื่อมั่นในพื้นฐานบริษัท ยันอยู่ในธุรกิจน้ำตาลมากว่า 50 ปี ไม่มีทางขายหุ้นทิ้ง ชี้ราคาหุ้นต่ำจองส่วนหนึ่งมาจากภาวะตลาดที่ผันผวน ลั่นบริษัทมีกำไรแข็งแกร่ง เดินหน้าโครงการในอนาคตโรงไฟฟ้าชีวมวลสองแห่งขนาด 100 เมกะวัตต์ คาดรับรู้รายได้ไตรมาส 4 ปีนี้ รวมถึงลุยสร้างโรงงานผลิตน้ำเชื่อม น้ำตาลทรายขาวบริสุทธ์ และปุ๋ยชีวภาพ
บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (KTIS) - นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS ผู้นำธุรกิจน้ำตาลทรายและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรเปิดเผยว่าบริษัท ฯ ขอให้ความเชื่อมั่นกับนักลงทุนว่าบริษัท ฯ เป็นผู้ดำเนินธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ และชำนาญในธุรกิจอ้อยน้ำตาล และอยู่ในธุรกิจนี้มานานกว่า 50 ปี ซึ่งบริษัท ฯ มีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีโรงงานน้ำตาลทรายรวม 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานน้ำตาลเกษตรไทย โรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ และโรงงานน้ำตาลรวมผลฯ ซึ่งโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยเป็นโรงงานที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในโลกถึง 55,000 ตันอ้อยต่อวัน และรวมกับโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ที่มีกำลังการผลิต 18,000 ตันอ้อยต่อวัน โรงงานรวมผลฯที่มีกำลังการผลิต 15,000 ตันอ้อยต่อวัน เท่ากับว่าโรงงานน้ำตาลของบริษัทมีกำลังการผลิตรวม 88,000 ตันอ้อยต่อวัน นอกจากธุรกิจอ้อยและน้ำตาลแล้ว กลุ่มKTIS ยังดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่องอย่างครบวงจร ได้แก่ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล ธุรกิจไฟฟ้าชีวมวล และธุรกิจผลิตและจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันพื้นฐานของบริษัทก็ยังแข็งแกร่งไม่ได้เปลี่ยนแปลง
“อย่างไรก็ตามการที่หุ้นเข้าเทรดในตลาด และมีราคาต่ำกว่าราคาจองนั้น บริษัท ฯ ขอชี้แจงว่าเป็นไปตามสภาวะตลาดที่ผันผวน ตลาดมีการปรับฐาน อีกประการหุ้น KTIS ถือเป็นหุ้นพื้นฐานธุรกิจ ไม่ใช่หุ้นปั่น หรือหุ้นเก็งกำไร เหมาะแก่การถือในระยะยาวและรับเงินปันผล ด้วยนโยบายของบริษัท ฯ ที่จะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิ และในส่วนของผู้บริหารของบริษัท ฯ นั้นทุกคนติดเงื่อนไขในการขายหุ้น (silent period) จึงไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเทขายหุ้นทิ้งเพื่อเก็งกำไร หรือขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในราคา Discount ให้กับนักลงทุนรายใดเป็นกรณีพิเศษ อีกประการคือธุรกิจนี้เป็นธุรกิจครอบครัว ซึ่งดำเนินธุรกิจนี้มานานกว่า 50 ปี และจะยังคงดำเนินธุรกิจนี้ต่อไปด้วยการบริหารงานอย่างโปร่งใส และเป็นมืออาชีพ นอกจากนี้เงินที่ระดมได้ในตลาด ฯ บริษัท ได้นำเอาไปเร่งเดินหน้าก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 2 โรง ที่จังหวัดนครสวรรค์ และอุตรดิตถ์ โดยจะเป็นโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตโรงละ 50 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ และเริ่มรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 4 ของปีนี้ นอกจากนี้มีโครงการผลิตน้ำเชื่อม (Liquid Sugar) และโครงการผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ (Super Refined Sugar) ประมาณ 980 ล้านบาท ลงทุนในการสร้างโรงงานปุ๋ยชีวภาพ ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวต่อไปว่า “เมื่อเร็วๆนี้สองบริษัทยักษ์ใหญ่ คือ ซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น บริษัทเทรดดิ้งชั้นนำระดับโลก และ นิสชิน ชูการ์ ผู้ผลิตน้ำตาลรีไฟน์รายใหญ่อันดับ 2 ของญี่ปุ่น ได้เล็งเห็นศักยภาพของกลุ่ม KTIS และได้เข้ามาถือหุ้นของบริษัทฯ ผ่านบริษัทร่วมทุน (joint venture) โดยเป็นการซื้อบนกระดานรายใหญ่ในราคา 12.42 บาท เมื่อวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่สองบริษัทยักษ์ใหญ่มีต่อหุ้น KTIS ซึ่งพันธมิตรทางธุรกิจทั้งสองจะนำความรู้ความชำนาญและประสบการณ์มาพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับกลุ่ม KTIS มากขึ้น โดยซูมิโตโม คอร์ปอเรชั่น เป็นบริษัทเทรดดิ้งรายใหญ่ของโลกที่มีตลาดทั่วโลกทำให้บริษัทสามารถขยายตลาด และฐานลูกค้า ส่วนนิสชิน ชูการ์ เป็นบริษัทที่มีknowhow และเทคโนโลยต่างๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าและความหลากหลายให้ผลิตภัณฑ์ของกลุ่ม KTIS มากยิ่งขึ้น”