นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า แนวโน้มจีดีพีไตรมาสแรกเติบโตต่ำกว่าที่สศค.และอีกหลายหน่วยงานคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศปีนี้ส่อแววหดตัว ในส่วนของภาคธุรกิจรับสร้างบ้านเองพบว่า ความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่หรือกำลังซื้อในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ปรับตัวลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว กอปรกับปัญหาขาดแคลนแรงงานก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการรายเล็กแก้ไม่ตก ส่งผลให้รายที่ปรับตัวไม่ทันเริ่มเกิดอาการถอดใจ ในขณะที่คู่แข่งรายใหญ่และรายผู้นำอาศัยความได้เปรียบที่สายป่านยาว หันมาทุ่มงบโฆษณาและจัดโปรโมชั่นลดกระหน่ำ 10-25% หวังดูดกำลังซื้อที่มีอยู่จำนวนจำกัด ส่งผลให้ปีนี้กลายเป็นปีทองของผู้บริโภคที่จะเลือกช็อปบ้านราคาไม่แพง หลังจากในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาบ้านขยับขึ้นกว่าร้อยละ 15-20
“สำหรับ พีดีเฮ้าส์ ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยอมรับว่ายอดขายต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ร้อยละ 6 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นผลมาจากปัจจัยลบทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีการชุมนุมประท้วงของประชาชน พบว่ายอดขายของบริษัทฯ ปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ล่าสุดตัดสินใจปิดสาขาในกทม. ได้แก่ สาขาย่อยศูนย์ฯ สิริกิติ์ เหตุเพราะปริมาณลูกค้าที่เข้ามาติดต่อลดลงอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนๆ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ เองก็ได้เร่งปรับตัวโดยหันไปขยายสาขาใหม่ๆ ในต่างจังหวัดแทน โดยในไตรมาสแรกเปิดสาขาจังหวัดชุมพรนำร่องเป็นแห่งแรก และเมื่อเร็วๆ นี้เปิดสาขาจังหวัดสุพรรณบุรีเป็นแห่งที่ 2 สำหรับสาขาที่ 3 และ 4 เตรียมเปิดสาขาจังหวัดร้อยเอ็ดและลำปางในช่วงไตรมาส 2 นี้ตามแผนการตลาดที่วางไว้ โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดหรือยอดขายของบริษัทฯ มิให้ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ชะลอตัว”
นายพิศาล เปิดเผยอีกว่า ปัจจุบันพีดีเฮ้าส์และกลุ่มบริษัทในเครือ มียอดขายและงานสร้างบ้านค้างอยู่ในมือประมาณ 300 หลัง คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้กว่าร้อยละ 80 เป็นยอดขายหรือก่อสร้างอยู่ในต่างจังหวัด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า 1.พฤติกรรมและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคในตจว.มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยลบทางการเมืองน้อยว่ากทม. 2.ตลาดรับสร้างบ้านในตจว.มีขนาดใหญ่มากพอ 3.การแข่งขันไม่รุนแรงเพราะยังมีผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานและเป็นมืออาชีพน้อยราย ซึ่งการที่บริษัทฯ รุกขยายตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาจึงถือได้ว่ามาถูกทางแล้ว อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาส 2 นี้บริษัทฯ ยังได้เตรียมงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไว้จำนวน 10 ล้านบาทเศษ เพื่อจะสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์และสร้างการรับรู้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็น “ศูนย์รับสร้างบ้านอันดับ 1 ของประเทศ”