“เงินติดล้อ” เดินสายโรดโชว์ ขายหุ้นกู้วงเงิน 2,500 ล้านบาท หุ้นกู้ อายุ 2 ปี 3 ปี และ 4 ปี มั่นใจนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ตอบรับเต็มที่ ยันไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เหตุเงินทุนสนับสนุนแข็งปึ๊ก
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอฟจี เซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถทุกประเภท ภายใต้แบรนด์ “เงินติดล้อ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 3 ชุด อันประกอบด้วย หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 2 ปี หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี และหุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2559 พ.ศ. 2560 และ พ.ศ.2561 (ตามลำดับ) โดยเสนอขายต่อนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ วงเงินรวม 2,500 ล้านบาท
สำหรับหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และไม่มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งบริษัทจะชำระดอกเบี้ยให้ผู้ถือหุ้นกู้ทุกๆ 6 เดือน และจะชำระคืนเงินต้นทั้งจำนวนในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ ซึ่งหุ้นกู้ของบริษัทได้รับจัดอันดับเครดิต เรตติ้งจาก TRIS ที่ A-/Stable โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นผู้จัดการในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้
“ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เราจัดหาเงินทุนจากตลาดตราสารหนี้เพื่อรองรับการเติบโตของเรา และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ลงทุนสถาบัน การออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะช่วยให้เราเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่เราจะได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงซึ่งทำให้เราสามารถแข่งขันได้เท่านั้น ลูกค้าของเราก็จะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงด้วย”
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการที่บริษัทฯจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นายปิยะศักดิ์ ได้ตอบว่า “บริษัทยังไม่มีแผนในส่วนนี้ เนื่องจาก เราเป็นบริษัทในเครือของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพร้อมให้การสนับสนุนทางการเงินกับทางบริษัทเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต”
ด้านผลประกอบการในปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดลูกหนี้รวมทะลุ 10,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยถึง 57% ยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่ำกว่า 1% ของยอดลูกหนี้คงเหลือทั้งหมด และสำหรับไตรมาสแรก ของปี 2557 บริษัทฯ มียอดสินเชื่อคงเหลือ (NEA) เติบโตอยู่ที่ 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2556 โดยยังรักษาระดับยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1% บริษัทฯ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมเติบโตถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2556 ทั้งนี้เป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจประกันวินาศภัย