นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TAE เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ TAE ในราคาหุ้นละ 2 บาท ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน โดยมีส่วนลด 27.30% จาก P/E Ratio เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับ TAE ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน
โดย TAE จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200,000,000 หุ้น ในขณะที่บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) หรือ LANNA จะนำหุ้นเดิมมาเสนอขายพร้อมกันอีกจำนวน 96,037,733 หุ้น รวมเป็นจำนวนหุ้นที่เสนอขายในครั้งนี้จำนวน 296,037,733 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 29.60 ของทุนชำระแล้ว ซึ่งการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ แบ่งเป็นการเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นของ LANNA (Pre-Emptive Right) จำนวนไม่เกิน 105,037,733 หุ้น และเสนอขายให้แก่ประชาชนจำนวน 191,000,000 หุ้น โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 7 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โดยจะจัดการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 15 พฤษภาคม กรุงเทพ ณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 19 พฤษภาคม และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 20 พฤษภาคม นี้ และจะเปิดให้จองซื้อหุ้น IPO สำหรับผู้ถือหุ้นของ LANNA (Pre-emptive Right) ระหว่างวันที่ 21-23 พฤษภาคม 2557 และสำหรับประชาชนระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2557 คาดว่าสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ในวันที่ 5 มิถุนายนนี้ โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า "TAE"
“การกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอของ TAE ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและมีความน่าสนใจอย่างมาก ผมมั่นใจว่าหุ้น TAE จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก TAE เป็นบริษัทที่มีศักยภาพและมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเป็น 1 ใน 3 ของผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงรายใหญ่ของประเทศ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้จากการขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 30% เมื่อผนวกกับมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ของภาครัฐ เช่น การยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 รวมถึงการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 หรือ E85 ซึ่งมีส่วนผสมของเอทานอลสูงขึ้น จะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งผลทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคง” นายสมภพกล่าว
ด้านนายสมชาย โล่ห์วิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย อะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จำนวน 400 ล้านบาท ไปใช้ในการลงทุนก่อสร้างระบบผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซชีวภาพสำหรับใช้ภายในโรงงานผลิตเอทานอลของบริษัทจำนวน 120 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจำนวน 200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
“TAE เป็นผู้ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงรายแรกที่ผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อการพาณิชย์ นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้ผลิตเอทานอลสำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงที่เริ่มบุกเบิกตลาดแก๊สโซฮอลล์ร่วมกับผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของประเทศ ทำให้มีความสัมพันธ์ที่ดีและได้รับการสนับสนุนจากผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับแรงสนับสนุนจากมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ของภาครัฐก็จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังให้ความสำคัญในการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดี โดยหนึ่งในวัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซชีวภาพเพื่อนำไฟฟ้าที่ได้มาใช้ในกระบวนการผลิตเอทานอลของบริษัท ซึ่งก็จะช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ผมจึงมั่นใจว่าหุ้น TAE จะได้ความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดี และคาดว่าจะสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้แก่นักลงทุน” นายสมชายกล่าว
TAE มีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 800 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 800 ล้านหุ้น หลังเสนอขายหุ้นในครั้งนี้แล้วบริษัทจะมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 1,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ 3 อันดับแรกของ TAE ประกอบด้วย LANNA ถือหุ้นร้อยละ 75.75 กลุ่มจตุรพฤกษ์ ถือหุ้นร้อยละ 4.69 และกลุ่มลิ้มวัฒนะกูร ถือหุ้นร้อยละ 4.56 โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ LANNA จะมีส่วนการถือหุ้นร้อยละ 51 กลุ่มจตุรพฤกษ์ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 3.75 และกลุ่มลิ้มวัฒนะกูร จะมีสัดส่วนการถือหุ้นร้อยละ 3.64 ที่เหลือเป็นประชาชนทั่วไป โดยบริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของกำไรสุทธิหลังหักสำรองตามกฎหมาย