ทั้งนี้ กอง THIF จะลงทุนในโรงแรม จำนวน 12 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพ และต่างจังหวัด ที่มีศักยภาพ เช่น สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่ จำนวน ห้องรวม 3,753 ห้อง โดยโรงแรม ทั้ง 12 แห่ง แบ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคาร จำนวน 10 โครงการ มูลค่า 20,150 ล้านบาท หรือประมาณ 79 % และสิทธิการเช่าช่วงที่ดินและอาคาร 2 โครงการ มูลค่า 5,410 ล้านบาท หรือประมาณ 21%
โดยโรงแรมที่เป็นกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคาร ประกอบด้วย 1) โรงแรม อิมพีเรียล สมุย บีช รีสอร์ท 2 ) โรงแรม อิมพีเรียล โบ๊ท เฮ้าส์ บีช รีสอร์ท 3) โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค 4) โรงแรมเมโทรโพล ภูเก็ต 5) โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ถ. สุรวงศ์ เขตบางรัก 6) โรงแรม บันยันทรี สมุย 7) โรงแรมวนาเบลล์ เอ ลักซ์ซูรี คอลเล็คชั่น รีสอร์ท เกาะสมุย 8) โรงแรม ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ 9) โรงแรมดับเบิ้ลทรี ฮิลตัน กรุงเทพ 10) โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่
ส่วนสิทธิการเช่าช่วงที่ดิน และอาคาร 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม โอกูระ เพรสทีส กรุงเทพฯ ที่มีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือประมาณ 27 ปี และโรงแรมพลาซ่า แอทธินี กรุงเทพ , อโรยัล เมอริเดียน ที่มีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือประมาณ 35 ปี
กองทุนนี้ น่าสนใจเพราะเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่ลงทุนในโรงแรมถึง 12 แห่ง และลงทุนในแบบเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินและอาคาร ( Freehold ) เป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ ทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนทั้ง 12 แห่ง ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ดี มีศักยภาพในการเจริญเติบโตของรายได้ในอนาคต ด้วยทำเลที่ตั้งทั้งอยู่ใจกลางเมือง และเขตธุรกิจในกรุงเทพ และรวมถึงต่างจังหวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้แก่ เกาะสมุย เชียงใหม่ และภูเก็ต ประกอบกับแต่ละโรงแรม มีผู้บริหารเชนโรงแรมมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ ในการบริหารและจัดการโรงแรมที่เป็นที่รู้จักกันดี เช่น Meridien S.A.Starwood Asia Pacific Hotel and Resorts Pte .Ltd , Hilton International Management , Banyan Tree Hotels & Resorts Pte .Ltd และ Hotel Okura Co.,Ltd เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุน นี้มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล ไม่น้อยกว่าร้อยละ90 ของกำไรสุทธิ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง