นายสมิทธ์ กล่าวว่า บลจ.ไทยพาณิชย์มีการวางรากฐานระบบงานภายในที่แข็งแกร่งมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยัง ให้ความสำคัญกับการออกผลิตภัณฑ์กองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่หลากหลายครบถ้วน ดังนั้นตนจึง มีความตั้งใจในการสานต่อนโยบายเดิมให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับลูกค้าที่ต้องการลงทุนเพื่อ ได้รับผลตอบแทนในระดับที่ดี ซึ่งปัจจุบันกองทุนของบลจ.ไทยพาณิชย์มีความโดดเด่นและสร้างผลการดำเนิน งานที่ดีเป็นที่พึงพอใจของลูกค้าหลายกองทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันซึ่งมักจะพิจารณาผลตอบแทนควบคู่ กับระดับความเสี่ยง ดังนั้นบริษัทฯจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปสู่กลุ่มลูกค้ารายย่อยมากขึ้น ควบคู่กับการ ให้ความรู้ด้านการจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) และทิศทางการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลต่อการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
“หัวใจสำคัญของธุรกิจกองทุนรวมคือความเชื่อมั่นและความไว้วางใจจากนักลงทุน ซึ่งปัจจุบันบลจ.ไทยพาณิชย์ ได้พิสูจน์แล้วจากอัตราเติบโตของนักลงทุนสถาบันที่ให้ความไว้วางใจเข้ามาเป็นลูกค้าจำนวนมาก จนทำให้บลจ.ไทยพาณิชย์ได้ครองส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในหลายธุรกิจ ในส่วนของกองทุนรวมก็มีการเติบโตที่สูงซึ่งมีกองทุนหลากหลายครบถ้วนเพื่อตอบโจทย์ให้แก่นักลงทุน อีกทั้งยังมีผลตอบแทนที่โดดเด่นเป็นที่สนใจและยอมรับของนักลงทุน อาทิ กองทุนหุ้นในประเทศมีกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET BANKING SECTOR INDEX (SCBBANKING) เป็นกองทุนรวมดัชนีที่ลงทุนในหุ้นธนาคารให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีประมาณ 16.94% (ณ วันที่ 30 เม.ย 2557) นอกจากนี้ยังมีอีก 1 กองทุนที่ผลตอบแทนในปีนี้ที่โดดเด่นคือ กองทุนเปิด
ไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (SCBDV) มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอและค่อนข้างสูง มีผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีประมาณ 11.08% (ณ วันที่ 30 เม.ย 2557) และยังได้รับรางวัลกองทุนตราสารยอดเยี่ยมประเภทกองทุนหุ้นขนาดเล็กถึงปานกลางจาก MorningStar (Thailand) ในปี 2552 ส่วนกองทุนต่างประเทศ เช่น กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ เอสแอนด์พี 500 (SCBS&P500) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นภายใต้ดัชนี S&P 500 สหรัฐอเมริกา มีผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีประมาณ 3.01.% (ณ วันที่ 30 เม.ย 2557) และกองทุนเปิดไทยพาณิชย์โกลบอล อิควิตี้ (SCBGEQ) ทีมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก มีผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีประมาณ 6.45% (ณ วันที่ 30 เม.ย 2557)” กรรมการผู้อำนวยการคนใหม่ กล่าว พร้อมเพิ่มเติมว่า
ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ตนได้ร่วมงานกับบลจ.ไทยพาณิชย์ในฐานะคณะกรรมการบริษัท โดยได้เข้ามาดูแลใกล้ชิด ในส่วนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การเข้ามาสานต่อด้านการบริหารงานจะเป็นการ ทำงานเชิงรุกไปพร้อมๆกับทีมงานที่มีความรู้ความสามารถในลักษณะทีมเวิร์ค โดยจะนำประสบการณ์การทำ งานในแวดวงการเงินและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศมา 20 ปีมาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น โดย มั่นใจว่าจะสามารถบริหารบลจ.ไทยพาณิชย์ให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย
“ในปีนี้ถือเป็นอีกปีแห่งความท้าทายของธุรกิจจัดการลงทุน ถึงแม้ธนาคารจะไม่แข่งขันระดมเงินฝาก แต่จากการ แข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นของธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ บริษัทฯไม่ได้โฟกัสว่าจะต้องก้าวสู่การเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจจัดการลงทุน แต่มองว่าสิ่งสำคัญคือ จะต้องรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ให้ได้ในทุกธุรกิจทั้งกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่บริษัทเป็นผู้นำอยู่ โดยมีเป้าหมายผลักดันให้สินทรัพย์ภายใต้การบริหารงานเติบโตสูงถึงระดับ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารงาน 936,237 ล้านบาท (ณ วันที่ 25 เม.ย 2557) จึงมั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันใกล้” นายสมิทธ์กล่าว
ปัจจุบัน บลจ.ไทยพาณิชย์ประสบความสำเร็จสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในหลายธุรกิจ คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการมูลค่าทางตลาด (market capitalization) อยู่ที่ประมาณ 106,230 ล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลมีมูลค่าสินทรัพย์ที่ 102,582 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 21% ส่วนธุรกิจกองทุนรวมมีทรัพย์สินสุทธิ 733,146 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาด 21.6% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีมูลค่าสินทรัพย์ที่ 100,508 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งตลาด 13% (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค 2557)