นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในประเทศกัมพูชา ได้ผ่านพ้นจุดคุ้มทุนตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งสามารถทำยอดขายได้ 1,400 คันต่อเดือน และบริษัทฯ จะเริ่มบันทึกกำไรเป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้เป็นต้นไป โดยคาดว่า ตลาดเช่าซื้อในกัมพูชาจะขยายตัวอย่างก้าวกระโดด ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายให้ได้ถึง 3,500 คันต่อเดือนภายในปลายปีนี้ และพุ่งขึ้นต่อเนื่องเป็น 5,000 คันในปีถัดไป
ทั้งนี้ GL ได้รับลิขสิทธิ์ให้บริการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดในกัมพูชาเพียงเจ้าเดียว โดยบริษัทฯ ลูกในกัมพูชาคือ GL Finance (GLF) ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเช่าซื้อจากธนาคารแห่งชาติของกัมพูชาเป็นเจ้าแรก
นายมิทซึจิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าในประเทศกัมพูชาจัดว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม เนื่องจากแทบจะไม่มีหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เลย ในขณะที่อัตราการทำกำไร (Profit Margin) อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ตามประมาณการณ์ของบริษัทฯ คาดว่า ธุรกิจในกัมพูชาจะสามารถสร้าง ผลกำไรในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับตัวเลขกำไรในตลาดประเทศไทยภายในปี 2558
GL รายงานตัวเลขกำไรสุทธิสูงเป็นพิเศษสำหรับผลการดำเนินงานในปี 2555 ที่ 357.38 ล้านบาท แต่แม้ยอดขายจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขกำไรสุทธิลดลงมาเหลือ 240.31 ล้านบาทในปี 2556 เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้บริษัทฯ ต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเป็นจำนวนสูงมาก โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/57 บริษัทฯ ได้รายงานงบการเงินรวมซึ่งมีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 10.76 ล้านบาท จากกำไรสุทธิ 90.63 ล้านบาท ในไตรมาส 1/56 หรือลดลงคิดเป็น 88.13% ในขณะที่งบการเงินเฉพาะกิจการมีกำไรสุทธิใน ไตรมาส 1/57 ลดลงเหลือ 28.58 ล้านบาท จาก 91.31 ล้านบาทในไตรมาส 1/56 หรือลดลง 68.70%
นายมิทซึจิ ชี้แจงว่า ยอดรายได้ในงบการเงินรวมเพิ่มขึ้น 19.81% จาก 320.80 ล้านบาทในไตรมาส 1/56 มาเป็น 384.38 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปีนี้ อันเป็นผลสืบเนื่องจากการขยายสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ทั้งบริษัทฯ แม่ในประเทศไทย และบริษัทฯ ลูกในกัมพูชา อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่ารายได้ดอกผลเช่าซื้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่กำไรสุทธิกลับลดลงเนื่องจากบริษัทฯ จำเป็นต้องตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ ตามมาตรฐานทางบัญชีที่เข้มงวด ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากปัญหาการเมืองยืดเยื้อทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และลูกค้าของบริษัทฯ จำนวนหนึ่งผิดนัดชำระหนี้ ส่งผลให้การตั้งสำรองดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นในงบการเงินรวมจาก 60.82 ล้านบาท ในไตรมาส 1/56 เป็น 120.98 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปีนี้ โดยเพิ่มขึ้น 60.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 98.92% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นจากบริษัทฯ แม่เกือบทั้งหมด คือ 58.08 ล้านบาท และจากบริษัทฯ ลูกในกัมพูชาเพียง 2.08 ล้านบาท เนื่องจากลูกหนี้ในบริษัทฯ ลูกมีอัตราการค้างชำระที่ต่ำมาก แสดงถึงคุณภาพที่ดีของสินทรัพย์ในกัมพูชา
“ผลประกอบการในไตรมาส 1/57 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของบริษัทฯ และจากนี้ไปสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น โดยคาดว่าสภาพตลาดโดยรวมในประเทศไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในครึ่งปีหลังของปีนี้ ส่วนตัวเลขการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญในเกณฑ์ค่อนข้างสูงในขณะนี้ สามารถตีกลับมาเป็นกำไรในอนาคต หลังจากที่สภาพตลาดกลับเข้าสู่ภาวะปกติและลูกหนี้กลับมาผ่อนชำระค่างวดได้ตามกำหนด” นายมิทซึจิ กล่าวสรุป