จากกรณี ไอจี ของ ปุ้ยที่ถ่ายรูปกับนายประวิทย์มันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
“คือ จริงๆ แล้วเป็นการเข้าไปลาเจ้านาย มันเป็นการตัดสินใจของเรา ที่จะลาออกการเป็นพนักงาน เราทำงานที่ช่อง 3 ตั้งแต่ปลายปี 36 ซึ่งมันก็ 20 ปีมาแล้วเนอะ ซึ่งทางช่องก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับตัวเราและครอบครัว เราเริ่มต้นจากการเป็นพนักงาน เป็นนักข่าว ไปทำข่าว ทำสกู๊ป อ่านข่าวเบรก อ่านข่าวภาคดึก อ่านข่าวภาคเช้า ทำมาทุกอย่าง จนมีโอกาสได้มาทำรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ด้วยความกรุณาจากคุณประวิทย์ มาลีนนท์ และคุณอัมพร ซึ่งมองเห็นว่าการเล่าข่าวต้องใช้คนข่าว หรือนักข่าว ที่ลงพื้นที่ถึงจะได้เนื้อหาข่าวที่เข้าใจ ละเล่าข่าวได้ดีกว่ามาเป็นนกแก้ว นกขุนทองในสมัยนั้น เราก็ได้พื้นที่ตรงนี้ก็ถือเป็นการเปิดโอกาสให้พื้นที่การทำงานหน้าจอที่เรียกว่าพิธีกร และเมื่อเราจะลาออกจากการเป็นพนักงานเราก็ขึ้นไปลาเจ้านายด้วยตัวเอง”
นายประวิทย์ว่ายังไงบ้างกับการเข้าไปลา ?
“คุณประวิทย์ก็เหมือนดูแลเราเป็นลูกน้อง เราก็เหมือนเป็นลูกหลานเป็นคนในครอบครัวก็จะมีอวยพรและถามสารทุกข์สุขดิบ เรื่องคุณแม่ที่เพิ่งเสียไปและเรื่องดูแลคุณพ่อ มันเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เราต้องการเวลา คือ เราไม่มีเวลาเต็มที่ในการทำงาน ไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมกับทางช่องขนาดนั้น”
ในส่วนของรายการ “ผู้หญิงถึงผู้หญิง” ยังอยู่หรือเปล่า ?
“รายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง ยังคงมีอยู่คะ แต่เรื่องรายละเอียดก็ต้องเรียนถามทางช่อง แต่เท่าที่ทราบก็จะย้ายไป เลข 13 คือ ช่องแฟมมิลี่ และอาจจะมีการปรับเปลี่ยนนิดหน่อย พิธีกรก็จะต้องมีคนใหม่เข้ามาเนอะ ซึ่งเราก็เรียนนายว่าถ้าใครจะมีโอกาสเข้ามาทำงานตรงนี้ได้ เหมือนเราเคยได้โอกาสเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราก็จะดีใจมาก เพราะว่าเราเองก็ได้โอกาสจากตรงนี้มาเหมือนกัน”
การลาออกจากการเป็นพนักงานในครั้งนี้เราจะเป็นอิสระมากขึ้นหรือไปทำงานกับที่ไหน ?
“ตอนนี้เราไม่ยังไม่ได้มีอะไร นอกจากการมาทำที่ ช่อง 2 กับรายการ โชว์แตกฟอง ซึ่งก็ทำมาหลายเดือนแล้วนะ งานหลักตอนนี้ก็คือ รายการ โชว์แตกฟอง ที่ ช่อง 2 นี่แหละ ซึ่งเราก็สบายใจในการทำงาน ส่วนการไปนั่งประจำยังไม่มีที่ไหน เรารับงานอิสระมากกว่า ซึ่งปกติเราก็รับงานอีเว้นท์อยู่แล้วเรื่อยๆ งานพิธีกรก็มีอยู่รายการเดียว”
ส่วนหนึ่งที่ลาออกจากการเป็นพนักงานช่อง 3 ในครั้งนี้เห็นว่าเป็นเพราะลูกด้วยที่ต้องไปเรียนต่างประเทศ ?
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คนมองมากกว่า เรายังไม่ได้มองขนาดนั้น หลักๆ คงดูแลคุณพ่อ เพราะเราเพิ่งเสียคุณแม่ไปแบบกะทันหันอันนี้เป็นส่วนสำคัญที่เราไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ เราก็เกิดความเกรงใจมากกว่าถ้าเรายังอยู่ในตำแหน่งพนักงานและไม่สามารถทำงานได้เต็มที่เราก็เกิดความละอายใจ และอึดอัดใจของเราเอง”
สรุปว่าการที่ลาออกจากการเป็นพนักงานช่อง 3 ในครั้งนี้คือเอาเวลาไปดูแลพ่อและลูก ?
“ในส่วนความคิดของเราเป็นแบบนั้นนะ ส่วนเรื่องของลูกที่ไปเรียนต่างประเทศเราก็ไม่ได้ไปอยู่ที่โน้นเลย แต่อาจจะบินไปหาเขาบ้าง ตอนนี้เขายังไม่ได้ไป เราก็เลยยังไม่วางแผนอะไรมากมาย มันยังเป็นอนาคตที่เราเองก็ยังไม่แน่ใจ สำหรับอนาคตของเราเอง คือเราเป็นพิธีกร ก็คงยังรับงานพิธีกร และมีอะไรที่ทำได้โดยไม่เบียดเบียนงานหลักที่ทำอยู่เราก็จะทำ ปกติเราเป็นคนที่ถ้าวันนี้มีงานอยู่แล้วเราก็จะไม่วิ่งงานอื่น เป็นการให้เกียรติกับผู้จ้าง”
ด้วยความที่เราอยู่กับช่อง 3 มานานพอออกมาอย่างนี้ก็ถูกมองว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ?
“เราทำงานกับที่ที่หนึ่งมานานมากก็มีความผูกพัน ซึ่งคนก็จะมองไปหลายๆ แบบ แต่ถามว่ามีปัญหามั้ย เราบอกเลยว่าไม่มีปัญหาเลย ช่อง 3 เป็นบ้านที่อบอุ่นมาก การออกมาครั้งนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหา แต่วันหนึ่งเราทำงานแล้วรู้สึกว่าอิ่มตัว เมื่อเราทำให้เขาไม่เต็มที่ เราก็รู้สึกว่าไม่สบายใจก็เลยปรึกษาผู้ใหญ่ คือ เราไม่ได้ลาจาก แต่เราใช้สิทธิ์จากการลาออกจากการเป็นพนักงานเท่านั้นเอง ซึ่งเราก็เรียนนายไปว่าจะเรียกใช้งานยังไง เราก็เหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะยังไงเราก็ยังมีละครที่ช่อง”