นายทัศน์ วนากรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) (KBS) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2557 เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ได้อนุมัติการลงทุนครั้งใหญ่โดยมีเป้าหมายทำให้โรงงานน้ำตาลครบุรีเป็น ชูการ์เอ็นเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ (Sugar Energy Complex) อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กลุ่มบริษัทเป็นอย่างมาก โดยการลงทุนครั้งนี้ประกอบด้วย 2 โครงการคือ โครงการก่อสร้างโรงงานเอทานอลขนาด 200,000 ลิตรต่อวัน และโครงการขยายกำลังการผลิต 12,000 ตันอ้อยต่อวัน เงินลงทุนรวมประมาณ 4,291.7 ล้านบาท คาดว่าทั้งสองโครงการจะสามารถเปิดดำเนินการผลิตได้ในฤดูหีบ 2558/59
“ธุรกิจอ้อย และน้ำตาลในประเทศไทย ซึ่งมีความแข็งแกร่งและข้อได้เปรียบกับประเทศคู่แข่ง ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ของโลกรายอื่น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในเอเชีย ซึ่งมีความต้องการบริโภคน้ำตาลเติบโตดี นอกจากนั้น ประเทศไทยยังมีระบบแบ่งปันผลประโยชน์ที่ยุติธรรม ทำให้ชาวไร่ร่วมงานกับทางโรงงานอย่างเต็มใจและร่วมกันพัฒนาพื้นที่ปลูกอ้อยออกไปอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจน้ำตาลยังมีผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลที่สามารถนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจชีวพลังงาน กล่าวคือ การผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล และการผลิตเอทานอล ซึ่งทำให้มีศักยภาพการทำกำไรสูง จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ที่ผ่านมา ปริมาณผลิตน้ำตาลของประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.4% และมีการเติบโตของปริมาณการส่งออกเติบโตเฉลี่ย 11.6% ต่อปี บริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมน้ำตาลไทย ซึ่งโรงงานน้ำตาล และชาวไร่จะร่วมกันพัฒนาให้ธุรกิจมีการขยายเติบโตต่อไปในอนาคต”นายทัศน์ กล่าว
นายทัศน์ กล่าวต่อว่า บอร์ดของบริษัทได้อนุมัติการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตและลงทุนในธุรกิจชีวพลังงานต่อเนื่องคือ โรงงานผลิตเอทานอลในครั้งนี้ โดยการลงทุนดังกล่าวจะสร้างความแข็งแกร่งให้ศักยภาพทางการแข่งขันของกลุ่มบริษัทเป็นอันมาก เพราะนอกจากจะทำให้โรงงานน้ำตาลครบุรีมีกำลังการหีบเพิ่มขึ้นจนมีความได้เปรียบจากขนาด (Economies of Scale) แล้วยังทำให้ความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มบริษัทมากขึ้นด้วย เพราะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลพลอยได้จากการผลิตน้ำตาลคือ กากน้ำตาล ไปต่อยอดผลิตเป็นเอทานอลนั่นเอง
ปัจจุบัน โรงงงานน้ำตาลครบุรีมีกำลังหีบ 23,000 ตันอ้อยต่อวัน เมื่อดำเนินตามโครงการขยายกำลังการผลิตแล้วเสร็จจะมีกำลังหีบเพิ่มขึ้นเป็น 35,000 ตันอ้อยต่อวัน การขยายกำลังผลิตดังกล่าวจะช่วยให้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยลดลง และยังมีผลดีต่อการขยายพื้นที่เพาะปลูกอ้อยของฝ่ายจัดหาวัตถุดิบของบริษัท เนื่องจากจะทำให้ปัญหารถอ้อยติดคิวเบาบางลง ทำให้ชาวไร่ที่มีศักยภาพของบริษัทมีความเชื่อมั่นที่จะขยายพื้นที่ปลูกอ้อยออกไปอีก นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า และ โรงงานเอทานอลที่รับวัตถุดิบจากโรงงานน้ำตาล คือ ก็จะมีความมั่นคงด้านการจัดหาวัตถุดิบมากขึ้นด้วย
สำหรับโครงการเอทานอลขนาด 200,000 ลิตรต่อวัน ที่ได้รับอนุมัติในครั้งนี้จะทำให้ธุรกิจของบริษัทครบวงจรมากขึ้น โดยจะทำให้โรงงานน้ำตาลครบุรีเป็น Sugar Energy Complex ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูง โรงงานเอทานอล ที่อยู่ใน Sugar Energy Complex จะมีความได้เปรียบโรงงานเอทานอลเดี่ยว (Standalone Plant) เพราะประหยัดค่าขนส่งวัตถุดิบ และไม่ต้องลงทุนในภาชนะจัดเก็บวัตถุดิบและหน่วยผลิตไฟฟ้าเพิ่มเติม
ส่วนแหล่งที่มาของเงินทุนที่จะมาใช้ลงทุนในโครงการทั้งสอง นายทัศน์ กล่าว่า KBS จะได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจากสถาบันการเงินประมาณ 2,700 – 3,100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนและเงินสดจากการดำเนินการของกลุ่มบริษัท โดยกลุ่มบริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานประมาณ 800 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้น บริษัทยังมีวอร์แรนท์จำนวน 50 ล้านสิทธิเพื่อซื้อหุ้นเพิ่มทุนซึ่งถือโดยกลุ่มมิตซุย หากกลุ่มมุตซุยใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทจะได้รับเงินเพิ่มเติมอีก 635 ล้านบาท เมื่อคำนวณอัตราสัดส่วนหนี้สินต่อทุนหลังจากดำเนินการโครงการทั้งสองแล้ว ยังอยู่ให้ระดับที่ไม่สูงมาก เพราะที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทมีนโยบายรักษาโครงสร้างเงินทุนแบบระมัดระวังมาตลอด
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลครบุรี กล่าวอีกว่า โครงการลงทุนทั้งสองโครงการจะต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ KBS ต่อไป โดยกำหนดวันประชุมวิสามัญครั้งที่ 1/2557 ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว บริษัทจะใช้เวลาดำเนินการก่อสร้างเป็นเวลาประมาณ 15 เดือน เพื่อสามารถเริ่มใช้โรงงานเอทานอล และกำลังการผลิตน้ำตาลใหม่ในฤดูการหีบ 2558/59
สำหรับผลประกอบการของ KBS ในไตรมาสที่ 1 ปี 2557 ที่ผ่านมา KBS มีรายได้รวม 1,570.5 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 265.5 ล้านบาท กำไรสุทธิลดลง 14.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำลง