นางสาวปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์ ฯ (SET) จำนวน 471 บริษัท หรือ 92.17% จากทั้งหมด 511 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2557 แล้ว โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานจำนวน 384 บริษัท คิดเป็น 81.53% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยยอดขายไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ 2,827,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 220,296 ล้านบาท ลดลง 9.92% ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.29% ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อยที่ 18.37% ส่วนอัตรากำไรสุทธิลดลงเป็น 7.79% จาก 9.15% อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.31 เท่า
“บริษัทจดทะเบียนใน SET ยังสามารถทำยอดขายและรักษาความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นได้ดีเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจและการเมืองยังดีอยู่ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างยอดขายควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุนขายของบริษัทจดทะเบียนภายใต้ข้อจำกัดในด้านต่างๆ นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกที่ค่อยๆ ฟื้นตัวและการเติบโตของหลายอุตสาหกรรมในช่วงก่อนหน้า เช่น ธุรกิจธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และประกันชีวิต ได้ช่วยสร้างรายได้ต่อเนื่องในปัจจุบัน เป็นอีกปัจจัยสนับสนุนช่วยให้ยอดขายโดยรวมยังเติบโตได้ อย่างไรก็ตาม กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่และกลางในกลุ่ม SET100 ลดลง 18.49% ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Non-SET100 เพิ่มขึ้น 54.73% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานของ TRUEIF มูลค่า 15,773 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิกลุ่ม Non-SET100 จะลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.35%” นางสาวปวีณา กล่าว
“เศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทจดทะเบียนเติบโตในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจนคือ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสายการบิน และธุรกิจหลักทรัพย์ ส่วนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และอาหารยังมีแนวโน้มอัตราการเติบโตของยอดขายดีต่อเนื่องจากปัจจัยทั้งด้านราคาและปริมาณขายจากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า” นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)
ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร และเทคโนโลยี
สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรกจาก 28 หมวดธุรกิจ ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 145,297 ล้านบาท คิดเป็น 65.96% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 53.70% ของยอดขายรวมทั้งหมด