ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-”

อังคาร ๒๗ พฤษภาคม ๒๐๑๔ ๐๙:๓๕
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรให้แก่ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB-” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะการเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย ตลอดจนตราสัญลักษณ์สินค้าและชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักและยอมรับในด้านคุณภาพ รวมถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อกิจการของ บริษัท ที.ที. เซรามิค จำกัด และ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 89% และ 32% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสัดส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นหลังการซื้อกิจการ รวมทั้งจากอัตรากำไรที่ลดลงจากการรวมผลการดำเนินงานของบริษัท ที.ที. เซรามิค ตลอดจนลักษณะที่เป็นวงจรของอุตสาหกรรม และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงาน

บริษัทก่อตั้งในปี 2516 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2532 ณ เดือนกันยายน 2556 ผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทคือตระกูลเพ็ญชาติและตระกูลเหล่าวิวัฒน์วงศ์ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 36% และ 21% ตามลำดับ

บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 15% สินค้าหลักที่บริษัทผลิต ได้แก่ กระเบื้องโมเสก กระเบื้องเซรามิคปูพื้น กระเบื้องเซรามิคบุผนัง และกระเบื้องตกแต่ง ซึ่งจัดจำหน่ายภายใต้ตราสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงในตลาด 2 ตรา ได้แก่ “ดูราเกรส” และ “ดูราเกรส-ลีลา” บริษัทจำหน่ายสินค้าในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี โดยมากกว่า 90% ของสินค้าจำหน่ายผ่านทางผู้จัดจำหน่ายของบริษัทและผู้ค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านชั้นนำต่าง ๆ

ในช่วงกลางปี 2555 บริษัทได้ลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม ในสัดส่วนประมาณ 32% และบริษัท ที.ที. เซรามิค ในสัดส่วน 89% โดยบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม ถือเป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมการผลิตกระเบื้องเซรามิคของไทย ปัจจุบัน บริษัทเน้นผลิตกระเบื้องบุผนังที่มีคุณภาพสูงภายใต้ตราสัญลักษณ์ “อาร์ซีไอ” ในขณะที่บริษัท ที.ที. เซรามิคเป็นผู้ผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนตราสัญลักษณ์ “เซอเกรส” ซึ่งเป็นกระเบื้องคุณภาพสูงสำหรับตลาดบน การลงทุนในบริษัททั้ง 2 แห่งส่งผลให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทสูงขึ้นเป็น 34 ล้านตารางเมตร ต่อปี และส่วนแบ่งทางการตลาดกระเบื้องเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 15% ในปี 2555 โดยอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากกลุ่มปูนซีเมนต์ไทยซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาด 40% และ บริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาด 30% ปัจจุบันบริษัทมีรายได้หลักจากการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นดูราเกรสซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 50% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยกระเบื้องบุผนังดูราเกรส-ลีลา และกระเบื้องเซอเกรสของบริษัท ที.ที. เซรามิค

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้ของบริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง โดยก่อนที่จะซื้อกิจการของบริษัท ที.ที. เซรามิค บริษัทมีรายได้เฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 2,650 ล้านบาทและมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 4% แต่หลังจากการซื้อกิจการของบริษัท ที.ที. เซรามิค ในเดือนกรกฎาคม 2555 แล้ว ยอดขายของบริษัทก็เพิ่มขึ้นเป็น 3,288 ล้านบาทในปี 2555 หรือเติบโต 22.8% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นอีกเป็น 3,736 ล้านบาทในปี 2556 คิดเป็นอัตราการเติบโต 13.6% จากปี 2555 รายได้จากบริษัท ที.ที. เซรามิค ในปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ทั้งนี้ อัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัท ที.ที. เซรามิค ยังอยู่ที่ระดับ 40% ของกำลังการผลิตทั้งหมด จึงมีความเป็นไปได้ที่บริษัท ที.ที. เซรามิค จะยังสามารถสร้างรายได้ให้แก่บริษัทเพิ่มได้อีกหากบริษัทสามารถเปิดตลาดการขายกระเบื้องพอร์ซเลนได้สำเร็จ

ความเสี่ยงด้านการเงินของบริษัทเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทลดต่ำลงเนื่องจากรวมผลประกอบการที่ยังไม่แข็งแรงของบริษัท ที.ที. เซรามิค อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อรายได้) ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 11.3% ในปี 2554 เหลือ 5.6% ในปี 2556 โดยบริษัท ที.ที. เซรามิค มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 103 ล้านบาทในปี 2556 หรือคิดเป็นติดลบ 14.3% เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อรายได้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีอัตราหนี้สินที่สูงขึ้นอันเป็นผลมาจากการซื้อกิจการของบริษัท ที.ที. เซรามิค และบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรมด้วยเช่นกัน โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มขึ้นจาก 31.3% ในปี 2554 เป็นประมาณ 53% ในปี 2556 ยอดหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 617 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 2,077 ล้านบาทในปี 2556 โดยสัดส่วนหนี้ที่มีขนาดใหญ่หรือประมาณ 879 ล้านบาทของหนี้สินทั้งหมดเป็นหนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ที.ที. เซรามิค อย่างไรก็ตาม หนี้สินส่วนนี้มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมากและมีตารางการผ่อนชำระที่ยาว ในขณะที่หนี้อีก 400 ล้านบาทของหนี้สินทั้งหมดเป็นเงินกู้ยืมเพื่อใช้ซื้อกิจการของบริษัท ที.ที. เซรามิค

ความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของบริษัทประกอบกับระดับหนี้สินที่สูงขึ้นส่งผลให้สภาพคล่องซึ่งวัดด้วยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมลดลงจาก 42% ในปี 2554 เหลือ 15% ในปี 2555 และ 8.5% ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัทที.ที. เซรามิคมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ต่ำ จึงส่งผลให้อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อดอกเบี้ยจ่ายยังอยู่ที่ระดับ 5 เท่าในปี 2556 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้

ในอนาคต ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลต่อผลการดำเนินงานของบริษัท ที.ที. เซรามิค และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจภายในประเทศ กล่าวคือ หากเศรษฐกิจในประเทศยังคงซบเซาอย่างต่อเนื่อง บริษัทอาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการเพิ่มยอดขาย และอัตราการใช้กำลังการผลิตของบริษัท ที.ที. เซรามิค ทั้งนี้ ผลประกอบการที่ยังไม่ปรับตัวดีขึ้นของบริษัท ที.ที. เซรามิค คาดว่าจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อกำไรโดยรวมของบริษัทต่อไปอีก 1 ถึง 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ กฎหมายฉบับใหม่ที่เกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพสินค้าซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อเดือนมกราคม 2557 ก็คาดว่าจะช่วยลดปริมาณสินค้านำเข้าที่มีคุณภาพต่ำซึ่งจะช่วยบรรเทาความรุนแรงของการแข่งขันในตลาดลงได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตกระเบื้องจากต่างประเทศก็จะปรับตัวและพัฒนาคุณภาพกระเบื้องให้ตรงตามมาตรฐานสินค้าไทยที่กำหนดเอาไว้ได้ในที่สุดและสามารถส่งออกสินค้าสู่ประเทศไทยได้อีก ดังนั้น ประโยชน์ที่จะเกิดจากกฎหมายควบคุมคุณภาพสินค้าดังกล่าวจึงยังคงต้องติดตามผลต่อไป

ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่ายอดขายของบริษัทน่าจะเติบโตถึงระดับ 4,000 ล้านบาทต่อปีตามประมาณการพื้นฐาน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทจะมาจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ที.ที. เซรามิคซึ่งน่าจะมีผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยน่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 6%-10% และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 52% ณ สิ้นปี 2556 เหลือ 40%-45% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทไม่น่าจะมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่มากกว่า 500 ล้านบาทในอนาคตอันใกล้นี้

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหวังว่าสถานะการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้าโดยเป็นผลจากการฟื้นฟูผลประกอบการของ บริษัท ที.ที. เซรามิค อันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับขึ้นหากผลประกอบการโดยรวมของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและดีกว่าประมาณการพื้นฐานของทริสเรทติ้งในช่วง 6-18 เดือนข้างหน้า ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้มก็อาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัท ที.ที. เซรามิค ลดลงต่ำกว่าที่คาดและดึงผลประกอบการโดยรวมของบริษัทให้ต่ำกว่าระดับในปัจจุบัน

บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB-

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version