“ผมใช้ชีวิตในวัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมา 17 ปี (ตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาโท) ทำให้ผมผูกพันธ์กับมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาก ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน แม้เราจะจบไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยและมีความสุขเสมอ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่มีงานจากทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นติดต่อเข้ามา หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมเองก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ครับ” ศุภรุจ กล่าว
ผมเองเป็นคนไม่ค่อยถนัดวิชาด้านวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สักเท่าไหร่ เลยเลือกที่จะมาเรียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องของเศรษฐกิจโดยตรง เพราะในช่วงนั้น (ปี 2545) เศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวหลังจากเกิดวิกฤตทางการเงินเมื่อปี 2540 เลยคิดว่าหากเรามีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจไว้บ้าง อนาคตหลังจากเราก้าวเข้าสู่การทำงานอย่างเต็มตัว น่าจะมีความรู้ไปใช้ในการทำธุรกิจได้
หลังจากจบปริญญาตรีภายในเวลา 3 ปีครึ่ง ผมเองก็ตัดสินใจเรียนต่อในระดับปริญญาโท ที่วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ สาขา MBA เหตุผลก็เพราะตอนนั้นยังไม่พร้อมที่จะทำงานด้วยและยังต้องการที่จะศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำธุรกิจ เพราะตอนปริญญาตรีเราทำได้ไม่ดีนัก การจะไปสมัครงานบริษัทดีๆก็ลำบาก จะเริ่มประกอบธุรกิจส่วนตัวก็ยังไม่พร้อม เลยตัดสินใจเรียนต่อน่าจะดีกว่า
ในช่วงเรียนปริญญาโท เป็นช่วงที่ผมให้ความสำคัญกับการเรียนมากขึ้น ด้วยความที่เราเองมีพื้นฐานทางด้านธุรกิจมาจากการเรียนในช่วงปริญญาตรี พอมาศึกษาต่อในสาขา MBA ทำให้การเรียนทำได้ง่าย วิชาพื้นฐานเช่น บัญชี เศรษฐศาตร์ การเงิน การตลาด ฯลฯ เราเคยเรียนมาบ้างแล้ว ประกอบกับ เข้าเรียนครบทุกคาบ เลคเชอร์สิ่งที่อาจารย์สอนตลอด ทำให้ผลการเรียนออกมาค่อนข้างดี ราวๆ 3.7-3.9 ดังนั้น เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับน้องๆที่กำลังศึกษาอยู่ หากเราให้ความสำคัญกับการเข้าเรียน เข้าให้ครบและตั้งใจเรียนในคาบเลคเชอร์สิ่งที่อาจารย์สอน รวมถึงเตรียมตัวในการสอบก่อนแต่เนิ่นๆ เราก็แทบไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสืออย่างบ้าคลั่ง ลดละเลิกกิจกรรมทั้งหมด ก็สามารถมีผลการเรียนที่ดีได้ครับ หลังจากเรียนจบได้นำสิ่งที่เรียนไปใช้อะไรบ้าง
หลังจากได้เข้ามาในวงการบันเทิงในฐานะ เดอะสตาร์ รุ่นที่ 4 ก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ จากสิ่งที่เราวางแผนเอาไว้ตอนเรียน สิ่งที่เรียนมาแทบจะไม่ได้ถูกนำเอามาใช้เลยแม้แต่น้อย เพราะเป็นการทำงานคนละสายกับสิ่งที่เราเรียนมาอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ไม่มีค่าซะทีเดียว เพราะหลังจากได้ทำงานในวงการมาหลายปี ก็ทำให้เข้าใจว่า การทำงานในวงการนั้น เป็นเพียงแค่การทำงานชนิดหนึ่งที่ไม่มั่นคง เราสามารถที่จะโด่งดังและดับได้ภายในเวลาอันสั้น และอาชีพนี้ก็ไม่สามารถที่จะใช้ยึดถือเป็นอาชีพหลักเพื่อสร้างความมั่นคงให้ กับชีวิตของเราได้ในอนาคต สิ่งที่ได้รับจากการทำงานในวงการที่สำคัญก็คือ connection และชื่อเสียงที่ได้รับมา รวมทั้งรายได้ที่อาจจะมากกว่าการทำงานในสายอาชีพอื่นในระยะเวลาสั้นๆ สิ่งเหล่านี้สามารถนำไปต่อยอดสู่การทำธุรกิจของเราเองได้ในอนาคต ซึ่งแน่นอนว่า สิ่งที่เราเรียนมาทั้งหมดในช่วงปริญญาตรีและปริญญาโทก็จะได้ถูกนำกลับมาใช้ อย่างแน่นอนในช่วงหลังจากนี้ อนาคตที่ตั้งใจเอาไว้ หลังจากออกจากวงการบันเทิง ก็คงจะเป็นการสร้างธุรกิจของตนเอง ซึ่ง ณ ตอนนี้ก็คงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นธุรกิจแบบไหน คงต้องพิจารณาจากโอกาส ค่านิยมของคนและเงินทุนของเราในตอนนั้นด้วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดตลอดเวลาที่เรายังอยู่ในวงการบันเทิง ก็คือ เราต้องมีความสุขกับสิ่งที่เราทำอยู่ ทำในสิ่งที่เรารักนั้นให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด เมื่อวันหนึ่งที่เราเดินออกมา เราจะได้ไม่เสียใจว่าเรายังทำมันได้ไม่ดี เพราะเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้อีกแล้ว
จริงๆก็ไม่ถึงกับคิวยาวนะครับ ผมเองก็ไม่ได้ทำงานทุกวัน ยังพอมีเวลาบ้างอยู่บ้าง และทุกครั้งที่มีกิจกรรมหรือมีงานของทางมหาวิทยาลัยเข้ามา อาจารย์และตัวแทนของมหาวิทยาลัยก็จะติดต่อมาก่อนเป็นเดือนๆ เราก็ลงคิวเอาไว้และพยายามมาให้ได้ (ยกเว้นติดงานที่คอนเฟิร์มไว้แล้ว)
ผมใช้ชีวิตในวัยเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมา 17 ปี (ตั้งแต่มัธยมจนจบปริญญาโท) ทำให้เราผูกพันกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาก ที่นี่เป็นเหมือนบ้าน แม้เราจะจบไปนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่กลับมาที่นี่ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยและมีความสุขเสมอ ดังนั้น เมื่อไหร่ที่มีงานจากทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นติดต่อเข้ามา หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมเองก็พร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ครับ