นายนรินทร์ สุวรรณสรางค์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท จีทีซี จำกัด เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาใน 2521 ปัจจุบันนี้ครบ 36 ปีแล้ว บริษัทมีธุรกิจทั้งหมด 4 กลุ่มแบ่งเป็นกลุ่มแรก Fine & Specialty กลุ่มที่1.Chemicals Division แผนกเคมีภัณฑ์ ถือเป็นสินค้ากลุ่มแรกที่นำเข้ามาตั้งแต่เริ่มกิจการด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 3 ทศวรรษทำให้ปัจจุบันจีทีซีถือเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ในตลาดทางด้านเคมีภัณฑ์โดยล่าสุดได้ร่วมจับมือกับพันธมิตรด้านเคมีภัณฑ์ระดับโลกอย่าง LG Household&Healthcare ที่มีผลิตภัณฑ์ครอบคลุมหลากหลาย
กลุ่มที่2 Fragrances Division ผลิตภัณฑ์น้ำหอมและสารสกัดจากธรรมชาติโดยมีพันธมิตรหลักอย่างบริษัท Fragrance Oils (International) จากประเทศอังกฤษที่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มาราว 50 ปีซึ่งมีหัวน้ำหอมให้เลือกใช้ในทุกผลิตภัณฑ์พร้อมทั้งสารสกัดต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด โดยน้ำหอมของบริษัทได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าแบรนด์ดังๆทั้งของไทยและระดับนานาชาติมายาวนาน กลุ่มที่ 3 Flavours & Food Ingredients Division วัตถุแต่งกลิ่นรสอาหารถือเป็นแผนกใหม่ที่ขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง3-4 ปีที่ผ่านมาจีทีซีตัดสินใจแยกแผนกนี้ออกมามีทีม R&D โดยเฉพาะเพื่อให้บริการลูกค้าอย่างครอบคลุม ล่าสุดจีทีซีได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกจากประเทศฝรั่งเศส Robertet
กลุ่มที่4 Technics Division สินค้าประเภทรถยก รถลากและอุปกรณ์ขนย้ายภายใต้แบรนด์ GT Mover ซึ่งรวบรวมผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ Hand Pallet แบบธรรมดาไปจนถึงรถขนย้ายที่ใช้ขนท่อน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ Explosion Proof ที่ป้องกันการระเบิดได้ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเคมีหรือการบิน ซึ่งพันธมิตรแต่ละแบรนด์ถือเป็นผู้นำในระดับโลกทั้งสิ้น ในด้านการบริการและซ่อมบำรุงจีทีซีมีศูนย์บริการลูกค้าที่ชลบุรีและหาดใหญ่การบริการแบบ On-Site และมีทีมวิศวกรสำหรับปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามความต้องการใช้งานของลูกค้าแต่ละรายอีกด้วย
"การที่เราต้องมีการแตกไลน์ธุรกิจ ออกมาทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อให้มีองค์กรแข็งแกร่งและมีความชัดเจนของธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากเรามีการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบ 36 ปี ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมีการเพิ่มบุคคลากรเป็น 1 เท่าตัว ปัจจุบันเรามีบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทั้งทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทีมดูแลด้านการตลาด ทีมการป้อนวัตถุดิบ และทีมบริการหลังการขาย ถึงแม้เราจะปรับโครงสร้างองค์กร แต่สิ่งที่เรายังคงให้ความสำคัญกับบุคคลากรคือ การทำงานในรูปแบบครอบครัว คือดูแลบุคคลากรและลูกค้าเสมือนคนในครอบครัว พนักงานทุกคนจึงเข้าถึงผู้บริหารได้ง่าย และให้อิสระในความคิดและอิสระการทำงาน ถือว่าเป็นวัฒนธรรมองค์กรเช่นกัน"
อย่างไรก็ตามเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเชียน หรือ เออีซี เบื้องต้นบริษัทจะเข้าเปิดตลาดในพม่า กัมพูชาเวียดนาม และอินโดนีเซียเนื่องจากมีประชากรเยอะ โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เริ่มมีโรงงานเข้าไปสร้างที่อินโดฯ เยอะ และการเมืองของประเทศอินโดฯ ก็เริ่มนิ่งเหมาะแก่การเข้าไปลงทุน และสามารถเจาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก บริษัทฯ วางเป้าหมายรายได้จากตลาดประชาคมอาเซียน 20% และในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ รายได้จากต่างประเทศจะมีสัดส่วน 50% และภายในประเทศ 50%
ทั้งนี้เป้าหมายระยะสั้นที่จะทำให้เกิดขึ้นภายใน 5 ปี หลังจากรุกตลาดเออีซี บริษัทต้องมีรายได้ถึง 1,000 ล้านบาท ในขณะนั้นด้วยเช่นกัน ซึ่งภายในสิ้นปีนี้บริษัทต้องมีรายได้เติบโต 30% หรือประมาณ 500 จากปีก่อนหรือปิดรายได้ที่ 300 ล้านบาท และตั้งเป้าปีนี้จะมียอดขายที่ 400 ล้านบาท