นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ภายหลังร่วมทุนกับ “ซูรูฮะ” ซึ่งเป็นเชนดรัก สโตร์ร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามชั้นนำจากญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยได้ 1 ปี ก็มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนจากทุนจดทะเบียนเริ่มต้นที่ 100 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท เพราะมองเห็นโอกาสและศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจนี้ และสำหรับปีนี้ ยังคงเดินหน้าตามนโยบายหลักที่จะขยายสาขาให้มากที่สุดรองรับ ดีมานด์ผู้บริโภคมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมวางแนวทางผลักดันให้ในประเทศไทยก้าวสู่ฮับอาเซียน หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีแนวโน้มการเติบโต ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าไปขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคเอเชีย
สำหรับ “ซูรูฮะ” แม้จะยังไม่เดินเครื่องบุกตลาดอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ แต่จากการเตรียมความพร้อมและการเติบโตธุรกิจในประเทศไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มองว่าการขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียนน่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ดังนั้น จึงเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจโดยเน้นการขยายสาขาใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ 3% จากปีแรกประมาณ 2% ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมธุรกิจค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงามกว่า 20,000 ล้านบาท ภายใต้การแข่งขันในตลาดที่ยังคงรุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการในตลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น วัตสัน, บู๊ทส์, ซีพี เอ็กซ์ตร้า, เพรียว บิ๊กซี, โอเกนกิและมัทสึโมโตะคิโยชิ ทำให้มีการเปิดเกมส์รุกอย่างดุเดือดเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดที่มีมูลค่ารวมเติบโตมากกว่า 10% ต่อปี อย่างไรก็ตามการดำเนินธุรกิจก็ต้องเป็นไปอย่างรัดกุมที่สุดท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ยังคงเป็นปัจจัยหลักส่งผลต่อภาพรวมของเศรฐกิจในปีนี้
นายอาคิโอ ทาคาเสะ กรรมการบริหาร บริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่จากประเทศญี่ปุ่น ภายใต้ชื่อ “ซูรูฮะ ซุปเปอร์ ดรักสโตร์” ด้วยคอนเซ็ปต์ “One Stop Shopping” เปิดเผยว่า ด้วยศักยภาพที่แข็งแกร่งของ “ซูรูฮะ” ที่เป็นเชนร้านค้าปลีกเพื่อสุขภาพและความงาม 1 ใน 3 อันดับที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ด้วยจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,312 สาขาทั่วประเทศ (ข้อมูล ณ พ.ค. 2557) มีสินค้าจำหน่ายมากกว่า20,000 รายการครอบคลุมทุกความต้องการ ทุกหมวดหมู่ และเป็นหนึ่งในร้านค้าปลีกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสมาคมเชนร้านขายยาของประเทศญี่ปุ่น (JACDS) จึงทำให้มองเห็นโอกาสการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน สำหรับรูปแบบของการเข้าไปลงทุนนั้น ขณะนี้ทางกลุ่มซูรูฮะอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด ซึ่งอีกหนึ่งกลยุทธ์ คือการเดินหน้าผลักดันให้ไทยเป็นฐานในการทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นนโยบายของบริษัทแม่ซูรูฮะที่ญี่ปุ่น โดยวางเป้าหมายจะมีสาขาร้านซูรูฮะทั่วโลกที่ประมาณ 20,000 สาขา ขณะที่ร้านซูรูฮะในประเทศตั้งเป้าจำนวนสาขาเปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 100 สาขาภายในปี 2559 เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับซูรูฮะในประเทศไทยก่อนที่จะก้าวไปสู่ตลาดระดับอาเซียน
น.ส.เบญจมาศ ต้องประสิทธิ์ กรรมการบริหาร บริษัท ซูรูฮะ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ซูรูฮะ” ได้ย้ำจุดเด่นที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์รวมสินค้าสไตล์ญี่ปุ่นที่มีความหลากหลายและครบวงจร พร้อมด้วยหัวใจการบริการในแบบญี่ปุ่น ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ความต้องของผู้บริโภคยุคใหม่ ส่งผลให้ได้ผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ หลังจากเปิดร้านแรกเมื่อกลางปี 2555 จนถึงขณะนี้มีร้าน “ซูรูฮะ ซุปเปอร์ดรักสโตร์” เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 18 สาขา โดยทุกสาขาเน้นเจาะกลุ่มทำเลทองแหล่งชุมชนและย่านธุรกิจเป็นสำคัญ ภาคตะวันออก 4 สาขา ได้แก่ เจพาร์ค ศรีราชา, นิคมสหพัฒน์ศรีราชา, แหลมทองบางแสน, แหลมทองระยอง ภาคเหนือ 2 สาขาได้แก่ พรอมเมนาดาและเมญ่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 12 สาขา ได้แก่ เกตเวย์ เอกมัย, ดิจิตอลเกตเวย์ สยามสแควร์, ซีคอนศรีนครินทร์, ซีคอนบางแค, ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, ยูเนี่ยนมอลล์, พิคคาเดลีแบงค็อก สุขุมวิท77, วันอุดมสุข, อาคารสาทรซิตี้ทาวเวอร์, อาคารอิตัลไทย, อาคารมิดทาวน์อโศก และที่เปิดใหม่ล่าสุด สาขาที่ 18 ร่มเกล้า ซอย 8 นับเป็นครั้งแรกของร้านค้าปลีกความงาม-สุขภาพในรูปแบบสแตนด์อโลนสไตล์ญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกในกรุงเทพฯ บนพื้นที่ 300 ตารางเมตร โดยใช้งบประมาณกว่า 15 ล้านบาท สำหรับสาขาร่มเกล้าแห่งนี้ นอกจากจะชูความแตกต่างด้วยการเป็นร้านค้าปลีกความงาม-สุขภาพในรูปแบบสแตนด์อโลนสไตล์ญี่ปุ่นแห่งแรกและใหญ่ที่สุดแห่งในกรุงเทพฯ แล้ว ยังช่วยตอกย้ำตัวตนของร้านซูรูฮะที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านขายยาอย่างเดียว แต่เป็นซุปเปอร์ ดรักสโตร์แบบวันสตอปชอปปิ้ง มีสินค้ามากกว่า 10,000 รายการให้เลือกจบครบในที่เดียว
ด้านการลงทุนแต่ละสาขาจะใช้งบประมาณไม่เท่ากัน มูลค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 5-20 ล้านบาท ตามขนาดพื้นที่แตกต่างกัน คือเริ่มตั้งแต่ขนาด 60-1,000 ตารางเมตร จากการเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันร้านซูรูฮะมีสัดส่วนการเปิดให้บริการหลายโมเดล ทั้งในอาคารสำนักงาน 20% ศูนย์การค้า 40% และพื้นที่ย่านชุมชนที่อยู่อาศัย 40% จำหน่ายสินค้าหลากหลายกว่า 10,000 รายการ แบ่งสัดส่วนเป็นหมวดยา อาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์ 30% หมวดเครื่องสำอาง 30% หมวดของใช้ในบ้าน 30% และหมวดอาหารเครื่องดื่ม 10% โดยแยกเป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ 30% สินค้าภายในประเทศ 70% อีกทั้งยังมีบริการพิเศษอื่นๆ เช่น มุมตรวจสุขภาพเบื้องต้น มุมตรวจสภาพผิวหนัง การให้คำปรึกษาด้านความงาม จึงทำให้มั่นใจว่าการขยายธุรกิจร้านซูรูฮะในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีเช่นที่ผ่านมา
ส่วนงบประมาณการตลาดสำหรับครึ่งปีหลัง วางไว้ประมาณ 10% ของยอดขาย เพื่อทำกิจกรรมการตลาดกระตุ้นการรับรู้ให้กับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนกลยุทธ์หลักที่นำมาใช้ คือการเน้นจัดโปรโมชั่น และแนะนำสินค้าใหม่ๆ ที่นำเข้ามาจำหน่ายในร้าน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองที่อ่อนไหวของประเทศ จึงเน้นกิจกรรมทางการตลาดที่ชัดเจนและตรงกลุ่ม เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ การเปิดตัวมาสคอต “ซูรูคุง” การจัดบูธโรดโชว์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ต่างๆ และยังจัดทำเฟซบุ๊คแฟนเพจพร้อมจัดกิจกรรมทางการตลาดกระตุ้นแฟนเพจอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อตอบโจทย์การตลาดยุคไอที-ดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งกิจกรรมดังที่กล่าวจะช่วยกระตุ้นจำนวนฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นได้แน่นอน โดยตั้งเป้าสิ้นปี 2557 เปิดเพิ่ม 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด คาดยอดขายปี 2557 ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มเป็น 5%
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
บริษัท กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์ จำกัด (ที่ปรึกษาด้านงานประชาสัมพันธ์)
โทร.02-284-2662 แฟกซ์. 02-284-2287,2291 www.kanokratpr.com
คุณกนกรัตน์ วีรานุวัตติ์ E-mail: [email protected]