สนพ.ดึงระบบ Demands Response ควบคุมการใช้ไฟฟ้ากลุ่มอุตสาหกรรม

พฤหัส ๑๙ มิถุนายน ๒๐๑๔ ๑๖:๒๘
สนพ. นำร่องโครงการสาธิตระบบ Demand Response ในพื้นที่อุตสาหกรรม โชว์เทคโนโลยีควบคุมระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ หวังช่วยลดใช้ไฟฟ้าช่วยพีค

นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการใช้ไฟฟ้า 164,341 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณร้อยละ 1.6 ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมถือเป็นสาขาหลักที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 44 ของการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ หรือประมาณ 72,536 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุดคือกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตอาหารใช้ไฟฟ้าสูงถึง 9,697 กิกะวัตต์ชั่วโมง รองลงมาคือกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและโลหะพื้นฐาน กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอ กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์

และเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าในกลุ่มอุตสาหกรรม ทาง สนพ. จึงได้ดำเนินโครงการ “สาธิตระบบ Demand Response ในพื้นที่อุตสาหกรรม” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อศึกษาศักยภาพกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในเรื่องความพร้อมในการใช้เทคโนโลยี Demand Response ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะช่วยควบคุมและปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพได้อย่างอัตโนมัติ โดยมีสมาคมพันธมิตรไทยเพื่อส่งเสริมการใช้ระบบพลังงานแบบกระจายศูนย์ (WEDE THAI) เป็นผู้ดำเนินการ

“ระบบ Demand Response เป็นกลไกที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถจัดการการใช้ไฟฟ้าของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างเช่น ระบบจะแจ้งให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารู้ว่าเวลาใดที่ผู้คนในประเทศมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) หรือ ช่วงเวลาใดที่ใช้ไฟฟ้าแล้วจะมีอัตราค่าไฟแพง โดยข้อมูลดังกล่าวจะช่วยจูงใจให้ผู้ใช้ไฟฟ้าหาทางลดการใช้ไฟฟ้าของตนเองลง ซึ่งในแต่ละปีจะมีการหยุดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ต่างๆ ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้าอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังเช่นในปี 2557 แหล่งก๊าซฯ เจดีเอ A-18 จะหยุดจ่ายก๊าซฯ ระหว่างวันที่ 13 มิ.ย. - 10 ก.ค.2557 (28 วัน) ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าจะนะ หายจากระบบทันที 710 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังผลิตในพื้นที่เหลือประมาณ 1,900 เมกะวัตต์ และอาจไม่เพียงพอกับความต้องการแม้จะมีการส่งไฟฟ้าจากภาคกลางลงไปช่วย 700 เมกะวัตต์ ก็ตาม ดังนั้น ระบบ Demand Response จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดไฟตก หรือไฟดับ เพราะผู้ประกอบการสามารถวางแผนเพื่อควบคุมให้เกิดการลดใช้ไฟฟ้าหรือหยุดใช้ไฟฟ้าในช่วงพีคได้ทันที ซึ่งจะไม่สร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ อีกทั้งยังถือเป็นการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาวด้วย” นายเสมอใจ กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ