นายรณกฤต สารินวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยถึงมุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทยหลังจากที่สหรัฐประกาศลดอันดับค้ามนุษย์ในไทยลงมาอยู่ในระดับต่ำสุด และกรณีที่สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศคว่ำบาตรไทย หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยเร่งจัดให้มีการเลือกตั้งว่า คาดว่าทั้ง 2 ประเด็นจะเป็นตัวแปรกดดันบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ซึ่งในเบื้องต้นเชื่อว่าจะกระทบกับหุ้นในกลุ่มส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ที่ตลาดหลักอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยุโรป
“ภาพใหญ่ที่เราต้องจับตามองคือ กองทุนขนาดใหญ่อาจจะชะลอการเพิ่มน้ำหนักการลงทุน ประกอบกับช่วงประกาศผลประกอบการ Q2 และ ภาวะ Low season ในช่วงต้น Q3 ที่ยังคงรับรู้ผลประกอบการในทิศทางชะลอตัว โดยคาดว่าดัชนีตลาด หุ้นไทยจะมีแนวรับที่ระดับ 1,440 จุด หากปรับฐานแรง อาจลงไปทดสอบ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,518 จุด เทียบเคียงที่ PE 16 เท่า ของอัตรากำไรในปี 57 ”นายรณกฤต กล่าว
นายรณกฤต แนะนำให้จับตาการเคลื่อนไหวค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด หากค่าเงินบาทอ่อนค่า และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จะเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าต่างชาติลดพอร์ตการลงทุน จากกรณีที่อียูคว่ำบาตรไทย หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม สำหรับมุมมองของ CGS ยังมองว่าปัจจัยภายในประเทศ ในเรื่องของการเดินทางหน้าลงทุนโครงการสาธารณูปโภค เช่นโครงการรถไฟฟ้า โครงการรถไฟรางคู่ โครงการด้านพลังงาน การเปิดประมูล 4 G ยังเป็นปัจจัยหนุนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้น Domestic Play โดยในส่วนของกลุ่มสื่อสารแนะนำลงทุนหุ้น INTUCH, JAS เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก ขณะที่มีการจ่ายปันผลในอัตราสูงถึง 8% ต่อปี และปัจจัยพื้นฐานยังแข็งแกร่ง ขณะที่หุ้นในกลุ่มก่อสร้างแนะนำลงทุนหุ้น ITD, DCON กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการวางระบบพลังงานและสาระสนเทศ แนะนำ DEMCO, IRCP, CSS