สรุปภาพรวมกองทุนรวมครึ่งปีแรก 2557

อังคาร ๐๘ กรกฎาคม ๒๐๑๔ ๑๐:๔๑
SET Index สร้างผลตอบแทนครึ่งปีแรกอย่างโดดเด่น 14.40% ส่วนกองทุนรวมโตอย่างต่อเนื่องดันมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 3.6 ล้านล้านบาท ประมาณ 17.05%

อุตสาหกรรมกองทุนรวมประเทศไทย

ผ่านครึ่งแรกของปี 2557 ที่ล้วนเต็มไปด้วยความกังวล ความกลัว ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของปีซึ่งสถานการณ์ต่างๆ ยังไม่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและชัดเจนมากขึ้นก็ส่งผลให้บรรยากาศในการลงทุนก็เริ่มกลับมาคล้ายกับเมื่อปีที่แล้ว อุตสาหกรรมกองทุนรวมในประเทศไทยเรียกได้ว่าฝ่าฟันวิกฤตนี้มาได้อย่างสวยงาม โดยที่ครึ่งปีแรก มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของอุตสาหกรรมโตกว่า 17.05% มูลค่าทรัพยสินสุทธิที่ 3.6 ล้านล้านบาท ซึ่งตรงนี้ต้องยกเครดิตให้กับคนในอุตสาหกรรมในทุกภาคส่วนที่ช่วยกันส่งเสริม รวมทั้งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนในภาวะที่สินทรัพย์หลักในการลงทุนอย่างเช่น หุ้นในประเทศเกิดความไม่แน่นนอนและผันผวน

หากจะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ (ประเภทกองทุน) ที่ได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนสูงสุดในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเห็นจะหนีไม่พ้น กองทุนประเภท High Yield Bond ซึ่งเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเรตติ้งในระดับต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (non-investment grade) และขายให้เฉพาะกลุ่มผู้ลงทุนประเภท Accredited Investor ซึ่งในเฉพาะครึ่งปีแรกนี้มีการเปิดกองทุนกันกว่า 100 กองทุน หรือคิดเป็นมากกว่า 25% ของจำนวนกองทุนที่ออกมาในปี 2557 นี้ ยิ่งไปกว่านั้นมูลค่าทรัพยสินสุทธิของกองทุนที่สามารถทำได้สูงกว่า 366,000 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วกองทุนละ 3,600 ล้านบาท

กองทุนอีกกลุ่มที่ได้นับความนิยมจากผู้ลงทุนอย่างโดดเด่นนั้นก็คือ กลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศแบบเจาะกลุ่มประเทศ (single country) และภูมิภาค (Region) ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเติบโตเฉลี่ยสูงสุดกว่า 71% จากปลายปีที่แล้ว ส่งผลให้ยอดของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในกลุ่มนี้สูงถึงเกือบ 6 หมื่นล้านบาท โดยมีกองทุนเปิดใหม่ 15 กองทุน และมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 22,980 ล้านบาท ซึ่งนำโดยกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปคิดเป็นยอดประมาณ 10,633 ล้านบาท (คิดเป็น 46%) ตามมาด้วย กองทุนหุ้น ญี่ปุ่น และ อเมริกา ที่ (15%) และ (14%) ตามลำดับ

ส่วน Trigger fund ยังคงออกมาเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง เป็นแม้กระแสจะไม่แรงเหมือนปี 2556 ที่ผ่านมาก็ตาม และส่วนที่ต่างจากเมื่อปีที่แล้วก็คือ Trigger fund ส่วนใหญ่นั้นจะเน้นไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศรวมทั้งมีประเทศใหม่ๆอาทิ เกาหลีใต้ เยอรมัน และยุโรป เป็นต้น โดยตั้งแต่ต้นปี มี Trigger Fund ออกสู่ตลาด 34 กองทุน แบ่งเป็นที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ 22 กองทุน และลงทุนในหุ้นไทย 12 กองทุน มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกว่า 14,000 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งเท่าๆกันทั้ง 2 ประเภท ส่วนผลการดำเนินการนั้น Trigger Fund ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยสามารถลงทุนและทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายจำนวน 7 กองทุน และ 5 กองทุนสำหรับกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ยังคงมี Trigger Fund ที่เหลือค้างมาจากปีที่แล้วและไม่สามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายจึงต้องเปลี่ยนไปเป็นกองทุนหุ้นแบบปกติจำนวน 27 กองทุน ซึ่งโดยเฉลี่ยผลตอบแทนนั้นติดลบที่ -10% ซึ่งนี้คือสิ่งที่ยืนยันว่าการลงทุนใน Trigger Fund นั้นขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลาในการลงทุนเป็นสำคัญ

ส่วนกลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนหุ้นไทยยังคงมีเม็ดเงินไหลเข้าแต่เบาบางเพียง 2,115 ล้านบาท โดยมาจาก กองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Equity General) ประมาณ 330 ล้านบาท และเป็นส่วนของกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap) 1,785 ล้านบาท ซึ่งลดลงกว่า 95% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 แต่อย่างไรก็ตามถือว่ามีจำนวนมากที่สุดนับแต่ปี 2548 (หากไม่นับปี 2556)

LTF และ RMF เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะเม็ดเงินไหลออกสุทธิของ LTF ที่ไหลออกเพียง -1,792 ล้านบาท ในครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อยผิดปกติจากในอดีตที่ผ่านมา และน้อยที่สุดในช่วงครึ่งแรกของปีตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนยังคงรอให้ผลตอบแทนดีดกลับขึ้นมาสูงขึ้นอีกครั้งแล้วค่อยทำการขายคืนประกอบกับนักลงทุนบางส่วนเริ่มมีการทยอยลงทุนตั้งแต่ต้นปี

ขณะที่ RMF ยังคงได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆโดยทำสถิติมีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิติดต่อกัน ไตรมาส 9 นับแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 โดยที่ครึ่งแรกปีนี้มีเงินไหลเข้ากว่า 1,765 ล้านบาท ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของ RMF นั้นสูงเกือบ 150,000ล้านบาท และนับเป็นครั้งแรกที่สัดสวนของ RMF ทีเน้นลงทุนในหุ้นมีส่วนแบ่งสูงสุดที่ 37.42% แซงหน้าประเภทที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ที่มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 35.92% ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้ลงทุนเริ่มเห็นความสำคัญของการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มมากขึ้นเพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนให้สอดคล้องกับระดับการรับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการลงทุนของแต่ละคน

ผลตอบแทนกองทุนรวมประเภทต่างๆ

ผลตอบแทนกองทุนในครึ่งปีแรกปีนี้ ต้องเรียกว่าสดใสและยอดเยี่ยมในทุกประเภทกองทุน โดยเฉลี่ยแล้วไม่มีประเภทกองทุนใดเลยที่ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนติดลบ ซึ่งกลุ่มที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงที่สุดคือ กลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย นำโดยกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Equity General) ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 13.98% และกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap) ก็ทำได้ดีเช่นกันที่เฉลี่ย 12.9% ขณะที่ SET Index ทำได้ 14.40% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ประเมินตลาดผิดทำให้ผลตอบแทนนั้นน้อยกว่า SET Index ส่วนกองทุนที่สร้างตอบแทนได้ดีตามอีกกลุ่มเห็นจะเป็น กลุ่มกองทุนทองคำและน้ำมัน ที่สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยบวกอยู่ที่ 8.85% และ 7.44% ตามลำดับ

ครึ่งปีแรกนี้กองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในต่างประเทศดูจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่ากองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศโดยเฉพาะกลุ่ม Emerging Market Bond ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 5.98% และ กลุ่ม Global Bond ที่ 3.6%ขณะที่ ตราสารหนี้ที่ลงทุนในประเทศ ทั้งระยะสั้นและยาวทำได้เฉลี่ยที่ 1-2%

กลุ่มสุดท้ายที่นักลงทุนในหุ้นให้ความนิยมสูงสุดนั้นก็คือ กลุ่มกองทุนหุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งต่างทำผลตอบแทนได้น่าผิดหวังเล็กน้อยเนื่องจากตลาดเหล่านั้นโตมาค่อนข้างมากเมื่อปีที่แล้ว โดยทั้ง 3 กลุ่มหลัก โดย กลุ่ม Asia Pacific ex-Japan Equity ทำได้เฉลี่ย 2.89% กลุ่ม Emerging Market Equity ทำได้เฉลี่ย 4.46% และ กลุ่ม Global Equity ทำได้เฉลี่ย 3.14%

และหากจะเจาะลึกลงไปในรายละเอียดก็จะเห็นได้ว่ากลุ่มกองทุนที่ลงทุนใน หุ้นญี่ปุ่น ดูจะประสบปัญหามากที่สุดโดยทำผลตอบแทนเฉลี่ย -4.25% และที่เน้นลงทุนในหุ้นจีนติดลบเฉลี่ย -3.19% ขณะที่กลุ่มที่เน้นลงทุนใน อเมริกาและยุโรป นั้นให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่าๆกันที่ประมาณ 5-5.5% เท่านั้น

ทั้งนี้ผลตอบแทนดังกล่าวเป็นเพียงข้อมูลผลตอบแทนระยะสั้น (6เดือน) ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ลงทุนพิจารณาถึงผลตอบแทนในระยะยาวด้วยเช่นกันเนื่องจากการลงทุนในตราสารที่มีความผันผวนสูงอย่างหุ้น นั้นต้องเน้นลงทุนในระยะยาว

*ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557

**ที่มา: บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) www.morningstarthailand.com

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version