นางชวินดา กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีการทำงานร่วมกับธนาคารกรุงไทย อย่างใกล้ชิด ให้ความรู้ผู้ขาย และนักลงทุน รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกองทุนต่างๆที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของบริษัท มีครบทุกโปรดักส์ ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเหมาะสม กับความเสี่ยงที่รับได้ นอกจาก การทำงานร่วมกับธนาคารกรุงไทย แล้วบริษัทยังมีตัวแทนสนับสนุนการขายอื่นๆ อีกกว่า 40 รายทั่วประเทศ เพื่อต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บลจ. กรุงไทย ยังมีความโชคดี ที่บุคลากรรักองค์กร พร้อมทุ่มเทในการทำงาน และทิศทางขององค์กรคือ การพัฒนาบุคคลากรเพื่อเพิ่มศักยภาพตลอดเวลา ไปพร้อมกับการทำงานที่มีความสุข พร้อมเป็นองค์กรที่ Dynamic และพยายามต่อยอดจากคุณสมชัย บุญนำศิริ อดีตกรรมการผู้จัดการ ที่ทำความเจริญให้กับองค์กรอย่างเด่นชัด และบริษัทให้ความสำคัญที่สุดคือ การสร้างความไว้วางใจให้เต็มร้อยกับลูกค้าของเรา และจะเป็นหนึ่งในการช่วยสร้างความเข้าใจ ในการลงทุนอย่างมั่นใจให้กับลูกค้าพร้อมกับการสนับสนุน กิจกรรมสำคัญของทุกภาคส่วนที่เป็นประโยชน์กับอุตสาหกรรม
ที่ผ่านมา ด้านผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมใหม่ๆ นับว่าบริษัทมีกองทุนรวมอีทีเอฟ ที่มีความหลากหลาย และยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุนประเภทดังกล่าว อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำนวัตกรรมของกองทุนรวมอีทีเอฟ ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับพอร์ตการลงทุนของผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี และบริษัทยังได้รับรางวัล SET Excellence Awards 2014 - ETF House จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน กล่าวว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มกลับมาหลังการทะยอยประกาศนโยบายเร่งด่วน ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความคาดหวังต่อเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัวขึ้น จากโครงการ 1 ) จ่ายเงินค่าข้าวที่ค้างอยู่ให้กับชาวนา 2 ) เร่งจัดทำงบประมาณ ปี 2558 3 ) สานต่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่เอาเฉพาะที่เป็นไปได้ ทั้งทางคมนาคม และโครงการน้ำ 4 ) แผนปฎิรูปภาษี ซึ่งเบื้องต้นคือ การต่ออายุโครงการเดิมที่ครบกำหนด 5 แผนปฎิรูปพลังงาน 6 ) ให้เงินกู้ซื้อบ้านดอกเบี้นต่ำ และ7) ตั้งคณะกรรมการ BOI เพื่อเร่งอนุมัติโครงการส่งเสริมการลงทุนที่ค้างอยู่
ทั้งนี้ จึงคาดว่าแนวโน้มดัชนี ในอีก 12 เดือนข้างหน้า จะอยู่ในกรอบ PER 12.5 ถึง 14.5 เท่า เนื่องจากยังมีปัจจัยสนับสนุน โดยบริษัทจดทะเบียนมีกำไรเพิ่มมากขึ้น จากความมั่นใจของนักลงทุน และผู้บริโภค คาดว่าในกรณีปกติ ( Base Case ) ดัชนีจะอยู่ที่ประมาณ 1,580 จุด แต่ทั้งนี้ หากปีหน้า GDPสามารถกลับมาเติบโตในระดับ Trend ของประเทศที่ระดับ5% สอดคล้องกับประมาณการของธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่า ดัชนีจะสามารถไปถึง 1,680 จุด ที่ระดับ PER 15 เท่า โดยมี Total Return 16 % จากดัชนี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2557 ซึ่งอยู่ที่ 1,485 จุด
ส่วนกลยุทธ์ การลงทุน ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย ( Overweight ) โดยเชื่อว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย จะเร็วและมีเสถียรภาพ จึงให้ความสำคัญกับหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน และการบริโภคในประเทศ ได้แก่ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง และจะให้น้ำหนักน้อยกว่าตลาด ในหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี เพราะมองว่า การเติบโตของกำไรจะน้อยกว่าตลาด
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในรูป W โดยเศรษฐกิจจะได้แรงกระตุ้นในช่วงแรกจากการเร่งใช้จ่าย จากนั้นจะชะลอลงหลังจากที่ประเทศเริ่มเข้าสู่กระบวนการระดมสมองเพื่อการปฎิรูป ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นอีกครั้ง เมื่อใกล้เข้าสู่การมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเราคาดว่า GDP Growth 1.1% ในปีนี้ และ5.2% ในปีหน้า โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจจะได้ประโยชน์จาก Pending consumtion , pending investment , การเสริม Inventories และการใช้จ่ายภาครัฐที่น่าจะดีขึ้น อาจจะกระทบด้วยการนำเข้าที่เพิ่มมากขึ้น แต่การส่งออกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้โดยปรับลดเหลือ 3.5% จากเดิมที่6% ขณะที่ในปีหน้า คาดว่า ตัวเลขการเติบโตจะค่อนข้างสูงเป็นผลจากฐานต่ำเป็นหลัก แต่การบริโภคและการส่งออกดีขึ้น ก็น่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นได้ด้วย ขณะที่รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่การปฎิรูปมากกว่า ทำให้แรงกระตุ้นภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะไม่สูงนัก และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) จะคงดอกเบี้ยที่ 2.00% ไปจนถึง ไตรมาส 2 ปี 2015