“สิ่งที่จะทำให้สัญญาประกันภัยทำงานแบบ Smart ได้นั้น ผมคิดว่าเราต้องเข้าใจธุรกิจประกันภัย และมีความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการ ที่สำคัญคือต้องนำทั้งสองสิ่งผนวกเข้ากับมุมมองของนักการตลาด เพื่อให้เข้าถึงจิตใจของลูกค้า จากนั้นจึงมาถึงกระบวนการสร้างสรรค์ให้เป็นรูปธรรม โดยออกแบบระบบและขั้นตอนการจัดการ และจัดเครื่องมือที่จะรองรับการทำงานให้ได้ประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การนำระบบ IT เข้ามาใช้ในทุกกระบวนการ หรือ Outsource งานบางชนิดที่เราไม่ชำนาญให้กับมืออาชีพ ซึ่งจะทำให้ได้ผลงานที่มีคุณภาพสูงกว่าในราคาค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า เป็นต้น ” นายเทวินทร์กล่าว
“สำหรับปี 2557 นี้ เราวางเป้าหมายเบี้ยประกันภัยรับไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยเน้นไปที่การขยายเครือข่ายตัวแทนนายหน้า และการเปิดสำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ ซึ่งในจุดนี้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ที่เห็นได้ชัด คือระบบออนไลน์เชื่อมต่อระหว่างสำนักงานใหญ่กับสำนักงานตัวแทน ทำให้สามารถออกกรมธรรม์ได้ทันทีที่จุดขาย นอกจากนี้ยังมีระบบเคลมผ่าน EMCS ซึ่งจะทำให้คู่ค้าได้รับความสะดวกรวดเร็วและมีมาตรฐานที่ชัดเจนในการทำงาน “
“สำหรับเรื่องแบบประกัน บริษัทฯ ไม่เน้นที่ความหลากหลาย แต่เน้นที่ความสะดวกและง่ายต่อการจดจำ โดยออกแบบเป็นแพ็คเกจและมีความเชื่อมโยงกัน เพื่อให้ตัวแทนนายหน้ารับรู้และเข้าใจสินค้าของบริษัทได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้เรายังได้เพิ่มมูลค่าของสินค้าเพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น อาทิ มีบริการช่วยเหลือกรณีรถเสียฉุกเฉินฟรี 24 ชม. สำหรับการประกันประเภท 1 และ ประเภท 5 ทุกคัน
ด้านบริการสินไหม นอกจากระบบ EMCS แล้ว เรายังให้บริการด้วยศูนย์ซ่อมมาตรฐานอู่พรีเมี่ยมการาจ ซึ่งเป็นความร่วมมือของเรากับสมาคมอู่กลาง ที่ลูกค้าจะได้รับความสะดวกในการเปิดเคลม ซ่อมทันทีโดยไม่ต้องรอคุมราคา แถมบริการพิเศษต่างๆอีกหลายรายการ ขณะนี้เริ่มนำร่องในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลแล้วประมาณ 40 อู่” นายเทวินทร์กล่าวเสริม
แม้ว่าเบี้ยประกันจะมาจากผู้เอาประกันภัย แต่สัญญาประกันภัยตระหนักดีว่า การไปสู่จุดมุ่งหมายในระยะยาวนั้น จะต้องอาศัยการสนับสนุนของพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นตัวแทน/นายหน้า อู่ เซอร์เวย์เยอร์ ร้านอะไหล่ ฯลฯ ดังนั้น เราจะไม่หยุดพัฒนา ระบบการทำงาน สินค้าและบริการ เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์สูงสุดร่วมกัน รวมทั้งต้องการเป็นบริษัทประกันภัยที่ทุกคนอยากเข้ามาใช้บริการและร่วมงานด้วยต่อไป