นพ.ธเนศ อมรพิทักษ์กูล หรือ หมอแบงค์ แพทย์แผนปัจจุบันและผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร เจ้าของ Herb Plus คลินิก เผยว่า ปัญหาและอันตรายที่เกิดจากกระ ผ้า บนใบหน้านั้น จริงๆ แล้วไม่มี เพียงแค่ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำเท่านั้น และถึงแม้กระ ฝ้า เป็นโรคผิวหนังที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แต่มีผลเสียต่อจิตใจผู้หญิงเพราะสร้างความกังวลใจในเรื่องของความสวยความงาม ดังนั้นจึงควรหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงของสีผิว หากบริเวณผิวหน้ามีรอยสีเทาหรือสีน้ำตาลบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม หรือสันจมูก ควรรีบดูแลแต่เนิ่นๆ ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้นานๆ เพราะสามารถแก้ไขได้ง่ายกว่า
นพ.ธเนศ กล่าวว่า ปัจจุบันโดยทั่วไปมี 2 วิธีที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้า คือ 1.การทำเลเซอร์ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษา และ 2.การใช้ครีมทาแก้ฝ้าที่ส่วนใหญ่ใช้สารเคมีเป็นส่วนผสม ซึ่งจะต้องใช้เวลานานอย่างน้อย 3 เดือน ถึงจะเริ่มเห็นผล และมีผลข้างเคียง เช่น อาการระคายเคืองผิว เกิดอาการแสบร้อนบริเวณที่ทา เกิดเป็นจุดด่างขาว หรือผิวหนังบางลงจากสเตียรอยด์สังเคราะห์ที่ผสมในครีมทาแก้ฝ้า ซึ่งทั้งวิธีการทำเลเซอร์และใช้ครีมทาแก้ฝ้า มีหลายรายที่ฝ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมและดำกว่าเดิม เรียกได้ว่า “ยิ่งทำ ยิ่งแย่” นั่นเอง
“ปัจจุบันนี้ทั่วโลกเริ่มมีการนำครีมสมุนไพรสกัดบริสุทธิ์มาใช้แก้ปัญหาเรื่องฝ้าแทนครีมทาผิวแบบเดิมๆ ซึ่งจากประสบ การณ์การรักษา พบว่าการใช้สมุนไพรสกัดจาก Green Tea (ชาเขียว), Mulberry (ลูกหม่อน), Curcumin (ขมิ้น), Centella Asiatica (ใบบัวบก), Matsutake (มัตซึทาเกะ) และ Camellia (ดอกคามิเลีย) ได้ผลดีมากและมีประสิทธิภาพเร็วกว่าครีมที่มีส่วนผสมของสารเคมี ใช้ไม่ถึง 7 วันก็เริ่มเห็นว่าฝ้าจางลงแล้ว เรียกได้ว่าใช้ได้อย่างปลอดภัย และสบายใจได้และการใช้ครีมสมุนไพรสกัดบริสุทธิ์นั้น ช่วยให้ฝ้าเริ่มลบเลือนภายในช่วงเวลาแค่ 1-2 สัปดาห์ โดยผิวไม่ลอกหรือแดงเวลาเจอแสงแดด ที่สำคัญสารสกัดสมุนไพรเหล่านี้ไม่ทำลายผิวให้กลับมาหมองคล้ำดำ จึงใช้ได้นานโดยไม่เกิดปัญหาใดๆ เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยสูง โดยไม่ส่งผลข้างเคียงระยะยาว” นพ.ธเนศ แนะนำ
นอกจากการใช้ครีมทาแก้ฝ้าแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ด้วยก็คือ ต้องหลีกเหลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ โดยเฉพาะแสงแดด ควรทาครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวขณะออกแดด และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าที่มีคุณภาพสูง เพื่อที่จะดูแลให้หน้าสวยใสอยู่คู่กับเราไปนานๆ