นายแพทย์อดุลย์ชัย แสงเสริฐ หรือ หมอเกมส์ สมาชิกสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ให้ความกระจ่างในเรื่องการร้อยไหม ศัลยกรรมสุดฮิตของแวดวงความงามนี้ว่า “หมอขออธิบายอย่างนี้นะครับ ก่อนอื่นขอเล่าย้อนประวัติศาสตร์นิดหนึ่งก่อน การร้อยไหมนั้นมีมานานแล้วครับแต่ส่วนใหญ่จะทำกันเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ไหมที่ใช้กันอยู่ตอนแรกๆคือไหม Aptosซึ่งมีลักษณะคล้ายก้างปลา เพื่อเอาส่วนของก้างปลาไว้เกี่ยวพยุงเนื้อเยื่อของใบหน้า ไม่ให้ย้อยตกลงมา ฟังแบบนี้ แนวความคิดค่อนข้างดีใช้ไหมครับ แรกๆก็ได้รับความนิยมมากแต่ต่อมาพบว่าเมื่อผิวหนังคนไข้บางลง ( คนอายุมากขึ้นผิวย่อมบางลงจากการที่ Elastin และ Collagen ในชั้น Dermis สร้างน้อยลง ร่วมกับ มีภาวะของ Lipolysis ของ ไขมันในชั้น Subcutaneous หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆคือ ผิวจะบางและเหี่ยวลงตามวัยครับ ) ไหม Aptos หรือ ไหมก้างปลา เงี่ยงของมันเกี่ยวทะลุผิวหนังออกมา แม้ว่า การร้อยไหมโดยศัลยกรรมแพทย์ตกแต่งนั้น จะนิยมการร้อยในผิวหนังชั้นลึกของใบหน้า ( SMAS ) แต่เมื่อผิวหน้าบางลงก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้”
“ต่อมาก็มีไหมที่ชื่อ ว่า Smart Cone หรืออีกชื่อก็คือ Silhoutte ไหมแบบนี้จะมีลักษณะเป็นเส้นไหมที่มีกรวยร้อยอยู่เป็นช่วงๆ โดยการร้อย Silhoutte นั้น จะเริ่มร้อย ( เย็บ ) จาก Temperal area ( ขมับ ) เพื่อเป็นจุดตั้งต้น หรือจุดยึด จากนั้นจะแทงเข็มตรงผ่านมาในระดับไขมันใต้ผิวหนัง จนมาถึงบริเวณร่องแก้ม ต่อจากนั้นจึงค่อยๆรูดผิวหนังย้อนรอยขึ้นไป เพื่อให้ Cone ที่อยู่ในเส้นไหมแขวนผิวหนังไว้ด้านบน ( Mechanic lift ) เรียกง่ายๆว่า ให้หนังหน้าไปอยู่ด้านบนแล้วซ่อนไว้ตรงไรผม เพื่อดึงเนื้อด้านร่องแก้มให้ตึงขึ้น ไหมชนิดนี้มีความสามารถในการดึงใบหน้าให้ตึงได้ค่อนข้างดี นอกจากนี้ Cone ที่อยู่ในเส้นไหมสามารถละลายได้เนื่องจากทำมาจากวัสดุชนิดเดียวกับไหมละลาย แต่ปัญหาที่พบก็คือว่า Cone ที่บอกว่าละลาย มันอาจละลายไม่หมด หรือเหลือซึ่งทำให้คนไข้สามารถคลำ Cone นี้ได้ หรือในรายที่ผิวบาง Cone นี้อาจมองเห็นจากภายนอก ทำให้ดูว่าใบหน้ามีลักษณะตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบเนียน”
“ต่อมาเป็นไหมทอง ( Gold Thread ) ใช้หลักการที่ออกจะแตกต่างจาก ไหมที่ร้อยกันมากก่อน ที่พยายามร้อยไหมในชั้นลึกๆ ของผิวหนัง จากการที่ใช้เงี่ยง หรือ กรวยในเส้นไหม เพื่อทำการหาจุดยึดของกล้ามเนื้อเพื่อดึงหนังหน้าแขวนไว้ ) โดยหลักการของ Gold Thread นั้นใช้วิธีทำให้เกิด การบาดเจ็บของชั้นผิวหนังกำพร้า ( Dermis ) โดยเฉพาะชั้น Pappilary dermis ซึ่งเป็นชั้นที่สร้าง Collagen และ elastin ให้แก่ผิวหนังซึ่งเมือผิวหนังเกิดการบาดเจ็บจากเข็มที่แทงแล้ว จะทำให้เกิดการกระตุ้นการสร้าง Collagen ในปริมาณที่มากขึ้น หมอขอเรียกมันว่าเป็นผังผืด ( Fibrosis )มากกว่าที่จะเรียกว่า Collagen แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันทำให้หนังหน้าตึงขึ้นแน่นอน แล้วมันก็ก่อให้เกิดคำถามว่า แล้ว ทองคำ 24 K 99.9 % ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.1 มม ละ มันจะวิเศษแค่ไหนถ้าอยู่บนหน้าเราแต่ทั้งนี้ ทอง หรือ โลหะทอง หรือธาตุทอง ยังไม่มีใครกล้าพันธงว่ามันดีกับผิวพรรณและ เซลล์อย่างไร แต่ที่แน่ๆคือ มันนำไฟฟ้าและความร้อนได้ดีที่สุดในโลหะธาตุด้วยกันเพราะฉะนั้น ถ้าคนที่ร้อยไหมทองคำ บนใบหน้าถ้าจะไปทำ treatment อื่นๆ ที่มีการนำพาความร้อนหรือ ไฟฟ้าเช่น Laser ชนิดต่างๆ คนไข้ต้องบอกแพทย์ให้รับทราบว่าเราทำอะไรกับหน้าเรามาบ้าง อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ ไหมทอง 1 เส้นยาว 55 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.1 มิลลิเมตร ราคาตกเส้นละ 250,000 บาท ( ราคาเท่ากับทอง 10 บาท ) ซึ่งถือว่ามีค่าใช้จ่าย แต่ทั้งนี้อย่างที่หมอได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าการร้อยไหมทองคำใช้หลักการกระตุ้นให้ผิวหนังชั้น Pappillary Dermis เกิดการสร้าง Collagen ซึ่งจริงๆแล้วยังมีเทคนิค อื่นที่ให้ผลคล้ายกันเช่นการทำ Thermage หรือ Frexel แต่ตามความคิดของหมอนั้น การที่ใช้ ไหมทองร้อยเข้าไปบริเวณผิวหนัง แม้ว่ายังไม่สามารถบอกถึงประโยชน์ของ ทองได้ชัดเจน แต่เส้นไหมทองที่ถูกสอดเข้าไปอาจเป็นตัวช่วยให้ Collagen ที่เกิดขึ้นเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ เพราะเส้นไหมทองอาจจะทำหน้าที่เหมือนรางรถไฟให้ Collagen ที่เกิดขึ้นใหม่จากการเกิดการบาดเจ็บของเข็มที่แทง ได้เกาะประสานกันเป็นแนวตามแนวของไหมทองนั้น ซึ่งแตกต่างจากวิธีอื่น ที่กระตุ้นcollagen ทั่วใบหน้า ทำให้กำหนดตำแหน่งในการสร้าง collagenได้ไม่แน่นอน แต่อย่างไรก็ตามจุดสำคัญที่สุดของการร้อยไหมทองนั้นคือ Technique ในการร้อยไหมทองนะครับ หมอที่จะสามารถร้อยไหมทองได้ผลดีนั้น ต้องมีความสามารถขั้นเทพจริงๆ กันเลยทีเดียว เพราะมือจะต้องนิ่งและแม่นมากในการที่จะทำให้ไหม ขนาด 0.1 มิลลิเมตร ร้อยผ่านเข้าไป ในผิวหนังชั้น Papillary Dermis ที่มีความหนาเพียง 0.3 มิลลิเมตร ถ้าแทงเข็มตื้นเกินไปไหมทองก็อาจจะมองเห็นได้ เป็นเส้นๆ และ ถ้าแทงลึกเกินไปหรือแทงลึกลงไปในใช้ไขมันใต้ผิวหนังก็ไม่เกิดผลในการกระตุ้นการสร้าง Collagen ให้ผิวหนังเพราะ ชั้นไขมันใต้ผิวหนังไม่ได้มีเซลล์อะไร นอกจากเซลล์ไขมันธรรมดาๆ”
และสุดท้ายก็มาถึง ไหมที่โด่งดังที่สุด ทำการตลาดกันมากที่สุด นั้นก็คือ การนำไหมละลายมาดึงหน้า ซึ่งทำเอาคนไข้เคลิ้มจนอยากจะได้ไหมพวกนี้อยู่บนหน้ากันมากมายแต่หมอขอแอบกระซิบนะว่า ไหมแบบนี้หมอเค้าก็เอาไปเย็บอย่างอื่นๆในร่างกายได้หมดละครับ ไม่ได้ผลิตมาเพื่อเย็บเนื้อเยื่อหัวใจเท่านั้น ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับไหมละลายชนิดนี้กันดีกว่า ไหมชนิดนี้มีชื่อ ว่า Polydioxanone ( PDO ) แต่ถ้าเป็นศัลยแพทย์จะรู้จักกันในนาม PDS ( S ย่อมาจาก Suture ) ไหมชนิดนี้เป็น Synthetic Absorbable Monofilament สรุปง่ายๆเลยว่า เป็น ไหมสังเคราะห์ ที่ละลายได้และทำมาจาก เส้นไหมเส้นเดี่ยว เรียกได้ว่าเป็น ไหมในฝันเลยที่เดียว เพราะคุณสมบัติที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่าเป็น Ideal Suture ของศัลยแพทย์ ไหมชนิดนี้มีกันมานานเกินกว่า 10 ปีแล้วเนื่องจากเป็นไหมที่ มีคุณสมบัติในการเกิดปฏิกิริยาน้อยมากับเนื้อเยื่อ แถมยังอยู่นานประมาณ 240 วันจึงละลาย และนอกจากนั้นยังมีโอกาสติดเชื้อน้อยด้วย และหลักการของการร้อยไหม PDO ก็คล้ายๆกันกับ การร้อยไหมทอง เพราะเป็นการใช้เข็มแทงเข้าไปในผิวหนังชั้น Papillary dermis ทำให้เกิดการบาดเจ็บและกระตุ้นการสร้าง Collagen เพียงแต่แทนที่เส้นไหมทองด้วย ไหม PDO เพื่อสามารถทำราคาได้ถูกด้านเทคนิคการร้อยดังนี้ครับ
1 ) จำนวนของเส้นไหม : ไหม ทองจะใช้จำนวนเส้นไหมน้อยกว่า โดยแต่ละเส้นก่อนจะร้อย แพทย์จะทำการวัดความยาวของใบหน้าในส่วนที่ร้อย แล้วทำการตัดเส้นไหมทอง ตามความยาวที่ได้ ดังนั้น การร้อย 1 ครั้งสามารถ ร้อยได้จากบริเวณหน้าหูถึงร่องแก้ม หรือาจจะร้อยจากใต้ตามาถึงขอบล่างของขากรรไกรได้เลย ฉะนั้นการแทงเข็มจึงมีจำนวนครั้งที่น้อย ประมาณ 4- 5 ครั้งต่อหน้า 1ข้าง แต่ไหม PDO จะเป็นไหมเส้นสั้นๆ โดยแต่ละเส้นจะยาวประมาณ 3-6 เซนติเมตร ( แล้วแต่ยี่ห้อและขนาดของเข็ม ) ดังนั้นจำนวนการแทงเข็มเพื่อร้อยไหม จึงมีจำนวนครั้งมากกว่าถึง 2 เท่าในแต่ละข้าง เรียกได้ว่า เจ็บมากกว่าเป็น ทวีคูณ
2 ) ความคงอยู่ของไหม : ไหมทองบอกว่า ร้อย 1 ครั้งอยู่ได้ 8- 10 ปี และ เส้นไหมทองสามารถสลายไปได้
อย่างไรก็ตามสุดท้ายหมอขอทิ้งท้ายด้วยหลักธรรมในเรื่องของการร้อยไหม ว่าด้วย หลักกาลามสูตร 10 ประการ“จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จงอย่าเชื่อเพียงเพราะปฏิบัติต่อกันมา... เพราะก่อนจะตัดสินใจดึงหน้าร้อยไหมกันก็ควรศึกษาข้อมูล หรือขอรับคำปรึกษาจากศัลยแพทย์อย่างแท้จริงก่อนจะดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อน!!