สมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์สุโขทัย สมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์เพชรบูรณ์ ซึ่งที่ประชุมได้ประกาศกรอบความร่วมมือในการยกระดับคุณภาพใบยาไทยและปกป้องอาชีพพร้อมมีมติยื่นหนังสือเสนอ คสช. เพื่อยับยั้งร่างกฎหมายควบคุมยาสูบซึ่งไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้แต่ถูกผลักดันโดยกลุ่มเอ็นจีโอที่พยายามเข้าไปแทรกแซงการทำงานของส่วนราชการ
นายกฤษณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงใหม่และประธานในที่ประชุมเปิดเผยว่าประเทศไทยมีกำลังการผลิตใบยาสูบอยู่ที่ประมาณ 54 ล้านกิโลกรัมต่อปี เป็นการผลิตเพื่อส่งขายโรงงานยาสูบ กระทรวงการคลังและส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ ในปี 2555 มีการส่งออกใบยา 18.7 ล้านตัน นำรายได้เข้าชุมชนท้องถิ่นและประเทศคิดเป็นมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท แต่ในขณะนี้ สมาคมชาวไร่ฯ ทั้ง 8 สมาคมฯ กำลังมีความกังวลต่อการพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการบริโภคยาสูบจากกลุ่มเอ็นจีโอที่ปรากฏในสื่ออย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มนักรณรงค์อ้างว่าจะเป็นการลดการบริโภคยาสูบได้และจะเร่งเสนอ คสช.ให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน “สมาคมชาวไร่ทั้ง 8 สมาคมขอคัดค้านร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายนี้มีผลกระทบอุตสาหกรรมยาสูบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำด้วยเหตุผล 4 ประการคือ 1) ร่างกฎหมายกระทบต่อชาวไร่ยาสูบกว่า 52,000 ครอบครัวและร้านค้าปลีกอีกกว่า 500,000-600,000 ร้านทั่วประเทศซึ่งเป็นเศรษฐกิจรากหญ้า 2) กฎหมายฉบับนี้ยังมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่กับทั้งชาวไร่ ร้านค้า ผู้ที่เกี่ยวข้อง และส่วนราชการต่างๆ รวมทั้ง กระทรวงการคลังเองก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าวในหลายประเด็น 3) กฎหมายดังกล่าวไม่ใช่นโยบายเร่งด่วนของ คสช. อีกทั้งมีแต่จะสร้างภาระและผลกระทบกับชาวไร่และเศรษฐกิจท้องถิ่น 4) มีความพยายามฉวยโอกาสในช่วงที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรผลักดันกฎหมายที่มีความสุดโต่งให้ผ่านโดยเร็วโดยไม่ฟังเสียงประชาชน” นายกฤษณ์ กล่าว
“ร่างฯ กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นวาระเร่งด่วน อีกทั้งยังถูกเสนอโดยกลุ่มนักรณรงค์ต่อต้านที่มีอคติต่อชาวไร่ยาสูบและทำให้เกษตรกรที่ทำมาหากินโดยสุจริตต้องตกเป็นจำเลยสังคมอยู่ตลอดเวลา เรามองว่าร่างนี้สุดโต่งเกินไป ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ และมีผลกระทบหลายด้าน มาตรการต่างๆ เช่น การห้ามทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมซึ่งกระทบต่อชาวไร่ยาสูบ การช่วยเหลือบรรเทาสาธารณภัยแก่ชาวไร่ยาสูบเมื่อเกิดภัยธรรมชาติ หรือการจำกัดการติดต่อระหว่างภาครัฐและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยาสูบ ประเด็นเหล่านี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะชาวไร่และสมาคมฯ เองต้องติดต่อกับภาครัฐตลอด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากสรรพสามิตและโรงงานยาสูบ” นายขจรศักดิ์ เมฆขจร นายกสมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเองเชียงใหม่ กล่าวเสริม
ทั้งนี้ สมาคมชาวไร่ทั้ง 8 สมาคมฯ จะส่งหนังสือถึง คสช. ขอให้ยับยั้งการออกกฎหมายนี้ไว้ก่อนจนกว่าจะมีรัฐบาลที่มีมาจากการเลือกตั้งและสภาผู้แทนราษฎรตามปกติเพราะไม่ใช่เรื่องจำเป็นเร่งด่วน และจะขอให้ คสช.และรัฐบาลชุดใหม่ช่วยดูแลปกป้องอาชีพของชาวไร่ยาสูบซึ่งเป็นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้าและส่งเสริมยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไร่ยาสูบต่อไป
จากภาพ
1. นางสาวสกาวรัตน์ โลหะโชติ นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. น่าน
2. นายอลงกรณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา
3. นายสุครีพ บุญชุ่ม นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เล่ย์ จ. สุโขทัย
4. นายสงกรานต์ ภักดีจิตร นายกสมาคมชาวไร่ยาสูบเบอร์เลย์ จ. เพชรบูรณ์
5. นายขจรศักดิ์ เมฆขจร นายกสมาคมพัฒนาชาวไร่บ่มเองเชียงใหม่
6. นายสุธี ชวชาติ นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. ลำปาง
7. นายกฤษณ์ ผาทอง นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. เชียงใหม่
8. นายมงคล กันทาธรรม นายกสมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบ จ. แพร่