นายชำนาญ งามพจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) (CRANE) เปิดเผยว่า บริษัทได้ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีคุณสมบัติที่เหมาะสม ผ่านหลักเกณฑ์เรื่องผลประกอบการ การเปิดเผยข้อมูล และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าหลังจากย้ายเข้าไปเทรดใน SET จะได้รับการตอบรับจากทั้งนักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น และช่วยลดข้อจำกัดการเข้ามาลงทุนในหุ้นของบริษัท ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาหุ้น และแผนการดำเนินธุรกิจหรือการระดมทุน เพื่อขยายธุรกิจในอนาคต
“การย้ายเข้าจดทะเบียนและซื้อขายใน SET จะส่งผลต่อภาพลักษณ์เชิงบวกยิ่งขึ้น เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนที่ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ mai มาสู่ SET ได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนในหลายๆ ด้าน จึงเป็นเหตุผลสำคัญในการดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนกลุ่มสถาบันให้เข้ามาลงทุนในหุ้น CRANE เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยสนับสนุนให้สภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้นด้วย ที่สำคัญตอนนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทของเรามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ซึ่งผ่านการทดสอบมาแล้วกว่า 5 ปี ผมถือว่าเราเป็นบริษัทมหาชนเต็มรูปแบบ และมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี”
เขากล่าวต่อถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ว่า แม้ที่ผ่านมาจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ แต่บริษัทได้ปรับตัวด้วยการทำตลาดธุรกิจให้บริการเช่าเครื่องจักรกลหนักมากขึ้น เพื่อทดแทนยอดขายรถเครนที่ลดลงเนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจลงทุน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันเริ่มคลี่คลายและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้แล้ว และสิ้นปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ประมาณ 1,400 ล้านบาท แต่ในส่วนของกำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการปรับกลยุทธ์การบริหารต้นทุนให้ลดลง ซึ่งทำให้กำไรเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้สัดส่วนรายได้ของ CRANE มาจาก 2 ส่วนสำคัญคือรายได้จากการขายเครื่องจักรกลหนักร้อยละ 50 และรายได้จากการให้บริการเช่าเครื่องจักรกลหนักร้อยละ 50 และปัจจุบัน CRANE มีรถเครนให้เช่าจำนวนมากรวมถึงขนาดใหญ่สุดที่ 1,250 ตัน ซึ่งมีอยู่เพียงคันเดียวในเอเซีย ดังนั้นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นลักษณะงานโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะงานโครงการจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหนัก เช่นกลุ่มอุตสาหกรรม ปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้า
“จุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าเช่ารถเครนกับเราเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีการให้บริการคำปรึกษาและดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างมาก และที่สำคัญความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ทำงานตามหลักมาตรฐานสากลเรื่องความปลอดภัยจึงทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่วางใจเลือกใช้บริการรถเครนของบริษัทอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมองว่าแนวโน้มตลาดรถเครนยังเติบโตต่อเนื่อง เพราะผู้เล่นในตลาดที่มีศักยภาพเท่าเทียมกับบริษัทมีจำกัด และเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับความเชื่อมั่นและไว้วางใจจากลูกค้า ทำให้รายใหม่เข้ามาในตลาดได้ยาก”
นายชำนาญ กล่าวต่อในช่วงท้ายถึงแนวโน้มรายได้ในปี 2558 คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปีนี้ที่คาดว่ารายได้จะทรงตัว เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้ประกอบการเริ่มฟื้นตัว หลังจากที่สถานการณ์การเมืองเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลเดินหน้าลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) และที่สำคัญรถเครนขนาด 1,250 ตันจะเริ่มรับออเดอร์งานโครงการจากลูกค้าได้มากขึ้น ทำให้แนวโน้มรายได้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ปี 2553-ไตรมาส 1 ปี 2557 บริษัทมีรายได้รวม 625.22 ล้านบาท 960.78 ล้านบาท 1,318.95 ล้านบาท 1,428.18 ล้านบาท และ 432.86 ล้านบาท กำไรสุทธิ 57.84 ล้านบาท 98.72 ล้านบาท 191.72 ล้านบาท 72.59 ล้านบาท และ 157.13 ล้านบาท