นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON ผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างงานฐานราก (เสาเข็มเจาะ) ระดับแนวหน้าของประเทศไทย เปิดเผยถึง ภาพรวมอุตสาหกรรมงานก่อสร้างและงานฐานรากเสาเข็มเจาะในครึ่งปีหลังของปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตที่ดี โดยบรรยากาศดีกว่าครึ่งปีแรกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางการเมือง ทั้งงานจากภาคเอกชน ที่เริ่มทยอยออกมามากขึ้น ในส่วนของงานภาครัฐบาล ก็จะเริ่มมีการประมูลในช่วงต่อจากนี้ ถึงช่วงปลายปี และจะสามารถเริ่มงานได้จริงในช่วงต้นปีหน้า โดยในไตรมาส 3-4 ของปี 2557 จะมีการประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) และการเปิดประมูลในปีหน้า 3 สาย ได้แก่ สายสีชมพู สายส้ม สายสีเหลือง เป็นต้น จึงเชื่อว่า จะเป็นโอกาสการเติบโตของ PYLONรวมทั้งตลาดรับเหมาก่อสร้างให้คึกคัก
“PYLON มีทิศทางเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากตลาดรับเหมาก่อสร้างโดยรวมที่เติบโตขึ้น เราเองก็มี Market share ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาทุกปีเช่นกัน จึงมองว่า ถ้าอุตสาหกรรมมีการเติบโต เราก็จะเติบโตตามไปด้วย แม้มีปัจจัยภายนอกมากระทบ บริษัทฯ ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า จากการดูแลและให้ความสำคัญในเรื่องของความเสี่ยงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ มองว่าแผนระยะยาวของประเทศไทยจะมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก จึงเห็นโอกาสการเติบโตของ PYLON อีกเยอะ และมั่นใจ เป้าหมายรายได้ในปีนี้ที่วางไว้จะเติบโตที่ระดับ 1,200 ล้านบาท จะเป็นไปตามนั้น แต่จะดีกว่าที่คาดมากน้อยแค่ไหน ต้องดูสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังจากนี้ประกอบด้วย” นายบดินทร์ กล่าว
นายบดินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (backlog) อยู่ที่ 870 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้จากงาน Backlog ในปีนี้ 80% อีกทั้ง บริษัทฯ เดินหน้าประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีกมูลค่า 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นงานฐานราก 800 ล้านบาท และงานก่อสร้าง 900 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถได้งานดังกล่าวราว 25-30%
ส่วนผลประกอบการงวดประจำไตรมาส 2/2557 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 54.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.01 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.80 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 45.52 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิสำหรับงวด 6 เดือน อยู่ที่ 97.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.70 ล้านบาท หรือ 35.69% จากงวดเดียวกันของปีก่อน 72.01 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างสำหรับงวด 3 เดือน เท่ากับ 336.27 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 0.41 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.12 สำหรับงวด 6 เดือนเท่ากับ 674.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 72.26 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12