นายนัคพัฒน์ ยิ้มเศรษฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผาทองกิจสตีลอินดัสตรี้ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเหล็กเส้นเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง ภายใต้เครื่องหมายการค้าอักษรย่อ”PTK มาตรฐานเหล็กเส้นไทย” เปิดเผยว่า บริษัทฯได้แต่งตั้งบริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และวางแผนธุรกิจ โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมทั้งการจัดโครงสร้างธุรกิจ โครงสร้างทางการเงิน และปรับปรุงมาตรฐานบัญชีเพื่อรองรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคต
บริษัท ผาทองกิจสตีลอินดัสตรี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าเหล็กเส้นทุกชนิดมายาวนานกว่า 40 ปี ซึ่งเหล็กเส้นทุกชนิดได้รับมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก.20-2543 และ มอก.24-2548 ชั้นคุณภาพ SR24, SD30, SD40, SD50 จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ภายใต้เครื่องหมายการค้า PTK และสโลแกนที่ว่า "PTK มาตรฐานเหล็กเส้นไทย" โดยมีจุดแข็ง คือ เป็นบริษัทขนาดกลางที่มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งสามารถปรับโครงสร้าง และกำลังการผลิตเหล็กชนิดต่างๆให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม ขณะที่บริษัทฯมีกำลังการผลิต 150,000 ตันต่อเดือน อีกทั้งวัตถุดิบที่ใช้เป็นวัตถุดิบในประเทศที่สามารถแปรรูปได้ตามต้องการช่วยลดความเสี่ยงในนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้มีการทำการตลาดเชิงรุกกับตัวแทนจำหน่ายเหล็กเส้น PTK อาทิ การออกบูทสินค้า และการจัดงานให้ลูกค้าได้ร่วมสนุก ทั้งกับดีลเลอร์ในจังหวัดต่างๆ และตัวแทนที่เป็นโมเดิร์นเทรดไม่ว่าจะเป็น โกลบอลเฮ้าส์ (Global House) ดูโฮม (Do Home) ไทวัสดุ (Thai Watsadu) โฮมฮับ (Home Hub) เมกาโฮม (Mega Home) และซีเมนต์ไทยโฮมมาร์ท (SCG Home Mart) โดยสัดส่วนการจัดจำหน่ายของดีลเลอร์และโมเดิร์นเทรดอยู่ที่ 50:50
นายนัคพัฒน์ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยนั้น โดยส่วนตัวแล้วมองว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมเหล็กน่าจะดีขึ้น โดยข้อมูลจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย คาดการณ์ปริมาณการใช้เหล็กของไทยในปี 2014 ว่าจะขยายตัวประมาณ 2.5% จากปี 2013 และปริมาณการใช้เหล็กทุกประเภทรวมอยู่ที่ 18.14 ล้านตัน ขณะเดียวกัน ยังมีปริมาณการส่งออกเหล็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) แสดงให้เห็นสัญญาณการฟื้นตัว และความต้องการใช้เหล็กมีมากขึ้นตามโครงการต่างๆ หลังเกิดความเชื่อมั่นทางการเมือง และนโยบายภาครัฐที่เริ่มเดินหน้า ตลอดจนทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งการก่อสร้าง การซ่อมแซมอาคารบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างแนวราบที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีแผนการที่จะเปลี่ยนเครื่องจักรใหม่ในปี 2558 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มากขึ้น รวมถึงต้องการเพิ่มไลน์การผลิตและขยายการผลิต จากปัจจุบันบริษัทฯมีการผลิตในส่วนของเหล็กเส้นกลม เหล็กเส้นข้ออ้อย ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ และมีแผนการจำหน่ายไปประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่อุตสาหกรรมการก่อสร้างเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มโอกาส และช่องทางการจำหน่ายให้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้บริษัทฯ จึงได้แต่งตั้ง APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อจัดหาแหล่งเงินทุนเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน รวมถึงจัดโครงสร้างธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมเพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ตลอด 40 ปีที่ผ่านมาเหล็กเส้น PTK ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าหลัก คือ ลูกค้ารายย่อยที่ปลูกสร้างบ้าน มีการซื้อสินค้าจากดีลเลอร์ตามจังหวัดต่างๆ และโมเดิร์นเทรด ส่งผลให้มียอดขายเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งทำให้เรามีแผนเพิ่มการผลิต จึงจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนเพื่อมาซื้อเครื่องจักรใหม่ และปรับปรุงของเดิมเพื่อการผลิตที่เพียงพอตามความต้องการของลูกค้า และเพิ่มศักยภาพการผลิตเพื่อรองรับโอกาสที่จะมีเข้ามาในอนาคต”นายนัคพัฒน์ กล่าว
นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัท ผาทองกิจสตีลอินดัสตรี้ จำกัด อยู่ระหว่างกระบวนการเตรียมความพร้อม โดยคาดว่าภายใน 1-2 ปีนี้ข้างหน้าจะสามารถดำเนินการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทาง APM มีหน้าที่ในการจัดโครงสร้างทางธุรกิจ และด้านบัญชีให้เป็นไปตามหลักการและกฏเกณฑ์ ระหว่างนี้ APM จะดูแลในเรื่องการจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบอื่นๆเพื่อรองรับการขยายกิจการ และสามารถแข่งขันในอุตสาหกรรมได้
โดยเชื่อว่าธุรกิจของ ผาทองกิจสตีลอินดัสตรี้ หรือแบรนด์สินค้า ”PTK มาตรฐานเหล็กเส้นไทย” ยังมีการเติบโตอีกมาก ด้วยประสบการณ์ และบุคลากรที่เชี่ยวชาญในเรื่องของการผลิตและการจำหน่ายเหล็กเส้นที่ยาวนาน และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเป็นสินค้าของคนไทยที่ได้มาตรฐาน สอดคล้องไปกับความต้องการใช้เหล็กเส้นในประเทศ และอุตสาหกรรมการก่อสร้างที่เริ่มฟื้นตัวจากนโยบายภาครัฐ และสามารถขยายช่องทางการตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกทางหนึ่ง
ดังนั้น การที่บริษัทฯมีแผนที่จะระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯถือเป็นแหล่งเงินทุนที่จะช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจเพิ่ม ในการนำมาปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตเหล็กเส้นให้ทันสมัย และสามารถผลิตสินค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้นตอบสนองความต้องการของลูกค้า และจะส่งผลต่อยอดขายที่ดีในอนาคต ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาบริษัทฯ มียอดขายเฉลี่ยปีละ 2,000 ล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกของปี 2557 มียอดขายอยู่ที่ 1,077.41 ล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายรวมในปีนี้จะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา