เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,200 ล้านบาทซึ่งรวมกับเงินที่ได้จากหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่เอสพีวีออกให้แก่ผู้เสนอโครงการจะนำไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดตามสัญญากู้เงินเพื่อที่อยู่อาศัย (กองสินทรัพย์) จากผู้เสนอโครงการ โดยมูลค่าของหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะอยู่ที่ประมาณ 25% ของมูลค่าของหุ้นกู้มีประกัน ทั้งนี้ หุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะด้อยกว่าหุ้นกู้มีประกันและเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีประกันนี้ นอกจากนี้ สิทธิในหลักประกัน สัญญาจำนอง และกรมธรรม์ที่มาพร้อมกับสินเชื่อก็จะโอนให้แก่เอสพีวี ณ เวลาเริ่มต้นโครงการ อีกทั้งหุ้นกู้มีประกันยังได้รับการสนับสนุนจากการที่ บตท. ตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่เอสพีวี และจะรับซื้อคืนกองสินทรัพย์ที่ยังคงเหลืออยู่จากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ด้วย
เอสพีวีเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจซึ่งจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายไทยและคาดว่าจะมีการกำหนดคุณสมบัติให้เป็นไปตามพระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. 2540 ต่อไป ผู้ถือหุ้นของเอสพีวีประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 48% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48.99% และบุคคลธรรมดาซึ่งถือหุ้น 3.01%
ตามข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2557 กองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่ง บตท. ซื้อมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK หรือผู้ขาย) ประกอบด้วยสัญญาเงินกู้จำนวน 4,059 สัญญาซึ่งมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 4,045.48 ล้านบาท มูลค่าทางบัญชีของกองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 4,104.11 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยของกองสินเชื่อตลอด 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 5.42% ต่อปี อายุเฉลี่ยของลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยคงเหลืออยู่ที่ 24.02 ปี ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีการจ่ายชำระคืนหนี้ก่อนกำหนดและไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ เงินค่างวดที่จะได้รับจากกองสินทรัพย์จะอยู่ที่ประมาณ 29.96 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเพียงพอสำหรับเงินค่างวดที่เอสพีวีจะทยอยชำระให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจำนวน 26 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานว่าเอสพีวีจะทยอยชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้มีประกันตลอดระยะเวลา 5 ปี ประมาณ 30% ของมูลค่าหุ้นกู้ที่ออก โดยเงินที่เอสพีวีจะทะยอยชำระให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้มีประกันจะอยู่ที่ประมาณ 26 ล้านบาทต่อเดือน (รวมส่วนของเงินต้นและดอกเบี้ยจ่าย)
บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ด้วย โดยเงินค่างวดที่ได้รับในแต่ละเดือนจะนำเข้าบัญชีของ บตท. ก่อน และจะโอนเข้าบัญชีเอสพีวีทุกสิ้นเดือน เนื่องจาก บตท. เคยเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ให้แก่โครงการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ของ บตท. ที่ผ่านมาหลายโครงการ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงเชื่อว่า บตท. จะสามารถทำหน้าที่ให้บริการเป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้ของโครงการนี้ได้ และตามสัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินระหว่าง บตท. และ เอสพีวีนั้น บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดตลอดอายุของหุ้นกู้ด้วย นอกจากนี้ ภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าว โดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเท่ากับมูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ รวมทั้งภาระผูกพันต่าง ๆ ณ วันสิ้นงวดของเดือนก่อนหน้าวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ หรือราคาอื่นใดแล้วแต่บริษัทและ บตท.จะตกลงกัน โดยเอสพีวีจะนำเงินที่ได้จากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน
หุ้นกู้มีประกันภายใต้โครงการนี้จะมีการทยอยชำระคืนเงินต้นตลอดอายุหุ้นกู้เพียง 30% ดังนั้น การชำระคืนเงินต้นทั้งหมดในวันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของ บตท. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันในการซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไป นอกจากนี้ ตลอดอายุของหุ้นกู้มีประกัน บตท. ยังตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีขาดสภาพคล่องอีกด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีประกันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน
บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (7) จำกัด (SPV-SMC (7))
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
หุ้นกู้มีประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นในวงเงินไม่เกิน 3,200 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2562 AA-(sf)