วรพจน์ พรธิสาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเวลลอปเมนท์ แบงคอก จํากัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจว่า เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว บริษัทได้ขยายธุรกิจจากธุรกิจจัดสรรและธุรกิจรับเหมา มาสู่การให้เช่า หรือภาคบริการธุรกิจค้าปลีก โดยล่าสุดได้เปิด “โครงการ “วนิลา มูน” ซึ่งเกิดขึ้นบนพื้นฐานที่เข้าถึงแหล่งชุมชน และคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกสบาย รวดเร็ว ประหยัดเวลา มีสินค้าและบริการครบวงจร โดยมีเป้าหมายที่จะตอบสนองการใช้ชีวิตในทุกๆ วันให้มีคุณค่า รวมถึงนําสิ่งดีๆ กลับคืนสู่ชุมชน เพื่อมาตรฐานการใช้ชีวิตที่มีไลฟ์สไตล์ดียิ่งขึ้น รองรับกลุ่มเป้าหมายระดับ B+ ถึง A รายได้ตั้งแต่ 50,000 - 100,000 บาท มีที่ตั้งใกล้แหล่งชุมชนชั้นนำรวมถึงสถาบันการศึกษาชื่อดังซึ่งมีกำลังซื้อสูง พร้อมให้บริการแบบ One Stop Services ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันสำหรับร้านค้าทั่วไป ตั้งแต่เวลา 10.00 – 22.00 น. , Starbucks เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 7.00-22.00 น. และ MaxValu เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง บนเนื้อที่กว่า 3 ไร่ และได้พันธมิตรทางธุรกิจอีกกว่า 2 ไร่ รวมเป็น 6 ไร่กว่า รวมพื้นที่ใช้สอยประมาณ 25,000 ตร.ม. เป็นมูลค่าการลงทุนรวม 400 ล้านบาท ถ.จันทน์ 37 ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ จอดรถได้ 300 คัน”
ภายในโครงการ “วนิลา มูน” ประกอบด้วยอาคาร 2 อาคารที่เชื่อมต่อกัน คือ อาคาร A เป็นอาคารสูง 10 ชั้น โดยไฮไลท์ของอาคารนี้ อยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคาร เพราะถือเป็นจุดที่สามารถชื่นชมทัศนียภาพของเมืองและแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ และอาคาร B เป็นอาคารสูง 4 ชั้น โดยทั้ง 2 อาคารนี้นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปปิ้งสำหรับสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง แฟชั่นแอ็คเซสซอรี่ส์ สินค้าไลฟ์สไตล์ อาร์ตแอนด์เดคคอร์แล้ว ซึ่งล้วนผ่านการคัดสรรมาแล้วทั้งสิ้น รวมถึงร้านอาหารสุดพรีเมียมระดับภัตตาคาร ตลอดจนลานอเนกประสงค์สำหรับทำกิจกรรมวันหยุดสุดสัปดาห์ และทุกๆ งานเทศกาลสำคัญ นอกจากนี้ โครงการ “วนิลา มูน” ยังได้เพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้าด้วยรถรับส่งที่ให้บริการตลอดทั้งวัน จากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์มายังโครงการฯ ตั้งแต่เวลา 10.00 น. - 20.00 น. ตลอดจนมี Lady Parking เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ท่านสุภาพสตรีที่ขับรถมาเอง
“ตอนนี้มีร้านค้าเปิดให้บริการแล้ว 40% ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างการตกแต่ง รวมทั้งสิ้น 72 ร้านค้า สำหรับพื้นที่เช่าในจะแบ่งออกเป็น 5 Segments ประกอบด้วย Education, Food & Beverage, Supermarket, Beauty & Spa, Fashion & etc โดยจะเปิดให้บริการเต็มพื้นที่ในไตรมาสที่ 4 เจาะลูกค้าเป้าหมายกลุ่มผู้อยู่อาศัยในรัศมี 3-5 ก.ม. อาทิ กลุ่มครอบครัว 30%, กลุ่มผู้ที่ต้องใช้เส้นทาง 25%, กลุ่มนักเรียนนักศึกษา 20%, ข้าราชการและคนทำงาน 20% และกลุ่มนักท่องเที่ยว 5% ตั้งเป้าหมายจะมีคนเข้าโครงการ ประมาณ 3,000-5,000 คน/วัน มั่นใจคืนทุนได้ภายใน 8-10 ปี”
ด้านทิศทางการแข่งขันของตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ในไทย ผู้บริหารมองว่า “เพราะไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีความหลากหลายทั้งชอบกินอาหาร ท่องเที่ยว ช้อปปิ้ง ส่งผลให้คอมมูนิตี้มอลล์ ในช่วง 3 ปีนับจากนี้จะเกิดขึ้นอีกหลายโครงการ และน่าจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งใจกลางเมือง ริมน้ำ และชานเมือง และผู้ประกอบการน่าจะงัดคอนเซ็ปต์ใหม่ๆ ที่ลงลึกถึงเฉพาะกลุ่มออกมา พร้อมกับดึงร้านค้าที่คู่แข่งไม่มีเข้ามาเปิด สร้างเป็นสถานที่กิน ช้อปปิ้ง เที่ยว ตอบสนองไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมายนิชมาร์เก็ต เพื่อสร้างความต่างและต้องแข่งขันกับห้างสรรพสินค้าที่เริ่มขยายตัวมาสู่ชานเมืองมากขึ้นด้วย”
พร้อมกันนี้ นายวรพจน์ ยังได้กล่าวถึงธุรกิจหลักดั้งเดิมของกลุ่มที่ทำธุรกิจรับเหมาและจัดสรร มีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อปี เมื่อรวมกับธุรกิจใหม่ล่าสุด ปัจจุบันทำให้กลุ่มมี 3 ธุรกิจประกอบด้วย ธุรกิจระยะสั้น ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรับเหมา มีมูลค่ารับงานต่อปี 500-800 ล้านบาทเป็นการงานก่อสร้างอาคารโรงเรียนและโรงพยาบาล ส่วนธุรกิจบ้านจัดสรรขึ้นอยู่กับโอกาสทางการตลาดและภาวะเศรษฐกิจ แต่เพื่อป้องกันความเสี่ยงบริษัทจึงเน้นสร้างบ้านจัดสรรเจาะกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ที่ล่าสุด บริษัทได้เข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรกับ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.ประสานมิตร) ด้วยการสร้างบ้านพักข้าราชการที่องครักษ์ คลอง 15 จ.นครนายก บนพื้นที่ 50 ไร่ จำนวน 100 ยูนิต ราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40%
“การลงทุนในโครงการนี้เรามองว่า ไม่มีความเสี่ยง เพราะกลุ่มลูกค้าเป็นกลุ่มข้าราชการ ที่สามารถกู้เงินจากสหกรณ์ได้ ทำให้เราได้ลูกค้าแน่นอน และตอนนี้มีการโอนแล้ว 40% คาดว่าจะโอนแล้วเสร็จทั้งหมดได้ภายในปลายปี 2557 นอกจากโครงการนี้แล้วเราจะมีการเจรจากับหน่วยราชการอื่นอีก เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่ม”