หลังจากที่ บริษัท อี ฟอร์ แอล เอม จำกัด (มหาชน) (EFORL) ประกาศเข้าซื้อหุ้นของบริษัท วุฒิศักดิ์ คลินิก อินเตอร์ กรุ๊ป จํากัด (WCIG) ซึ่งประกอบธุรกิจให้คําปรึกษาและตรวจรักษาปัญหาด้านผิวพรรณ และลดกระชับสัดส่วน ในสัดส่วน 100% ผ่านบริษัทย่อยที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ด้วยมูลค่าซื้อขายทั้งสิ้นประมาณ 3,500 ล้านบาท
โดยบริษัทจะเข้าถือหุ้นในบริษัทย่อยในสัดส่วน 60% ส่วนที่เหลืออีก 40% จะเป็นการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายเดิม ได้แก่ นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ นายพลภัทร จันทร์วิเมลือง และนายวุฒิศักดิ์ ลิ่มพานิช โดยถือหุ้นบริษัทย่อยในสัดส่วน 25% และอีก 15% ถือหุ้นโดยกองทุนซึ่งจัดตั้งและบริหารโดย Solaris Asset Management Company Limited
?จากกรณีดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งได้ปรับราคาเป้าหมายของ EFORL เนื่องจากมีมุมมองที่เป็นบวกจากการเติบโตหลังซื้อธุรกิจใหม่ โดยบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 2.50 บาท โดยมองว่าการเข้าลงทุนในครั้งนี้เป็นการเข้ามาเสริมทัพในธุรกิจเสริมความงาม หลังจากที่บริษัทเข้าซื้อบริษัท That’s So ซึ่งจะเป็นส่วนผลักดันรายได้ของบริษัทในอนาคต ด้วยธุรกิจเสริมความงามมีมูลค่าตลาดสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท และมีการเติบโต 15-20% ต่อปี จะส่งผลให้สัดส่วนจากรายได้เสริมความงามจะอยู่ที่ 70%
อย่างไรก็ตาม การเข้าลงทุนในครั้งนี้มาจากการกู้ยืมสูงถึง 3,500 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีภาระดอกเบี้ย 207 ล้านบาทในปี 2558 และทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจากเดิม 0.3 เท่ามาเป็น 4.6 เท่าในปี 2558 การเข้าลงทุนในวุฒิศักดิ์ ช่วยเพิ่มรายได้และผลประกอบการก้าวกระโดด รายได้ของวุฒิศักดิ์ เท่ากับ 3,500 ล้านบาทในปี 2556 ด้วยสมมติฐานการเติบโต 3 ปีเฉลี่ย 13% (สอดคล้องกับอุตสาหกรรมเสริมความงาม) และ Gross margin ที่ 40% จึงคาดว่าวุฒิศักดิ์ฯ จะมีกำไรสุทธิ 506 ล้านบาทใน 2557 และ 561 ล้านบาทในปี 2558 ซึ่งจะเพิ่มรายได้และกำไรสุทธิในปี 2558 ของ EFORL มาอยู่ที่ 6,566 ล้านบาท และ 479 ล้านบาท หรือ 56%
?ด้านบริษัทหลักทรัพย์เคเคเทรด จำกัด ให้ราคาเป้าหมาย 2.05 บาท การเข้ามาของวุฒิศักดิ์ซึ่งเป็นธุรกิจในด้านความงามที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรสูงจะทำให้ EFORL สามารถสร้างกำไรได้อย่างก้าวกระโดดในปี 2558 หลังจากการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยในเบื้องต้นประเมินกำไรสุทธิรวมที่ 589 ล้านบาท เติบโตกว่า 90% จากประมาณการกำไรปี 2557 ที่ 307 ล้านบาท นอกจากนี้มองว่าการที่ EFORL ใช้เงินทุนจากการกู้ยืม (Debt Financing) จะช่วยทำให้อัตราผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 47% เพิ่มจาก 27% ในปีนี้
?ขณะเดียวกันบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้ราคาเป้าหมาย 2.07 บาท โดยคาดกําไรงบรวมปี 2558 ของ EFORL เพิ่มขึ้น 102.5% จากคาดการเดิมที่ 314.28 ล้านบาทมาที่ 636.24 ล้านบาท ทำให้ราคาพื้นฐานปี 2558 ของ EFORL เมื่อรวม WCIG จะอยู่ที่ 2.07 บาท/หุ้น อิงระดับ P/E ที่ 30 เท่า ทั้งนี้แนะนํานักลงทุนให้จับตาแนวทางดําเนินธุรกิจในช่วงต่อไป ซึ่งหากส่งผลบวกด้าน Business Synergy จะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลประกอบการมากขึ้น