นายเชวง จาว รองประธานอาวุโส สถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรม แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมฯ เป็นองค์กรที่สนับสนุนและเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างบูรณาการ ยกระดับอุตสาหกรรมไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน (AEC Regional Industrial Hub) สนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีขีดความสามารถการแข่งขันได้ในระดับสากล มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบต่อสังคม ดำเนินงานภายใต้กรอบขององค์กรที่มีธรรมาภิบาลที่ดี (Good Governance)
จากนโยบายที่เน้นการส่งเสริมผู้ประกอบการให้มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน สภาอุตสาหกรรมฯ จึงได้ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ ดำเนินโครงการที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งที่ผ่านมา สภาอุตสาหกรรมฯ ได้ดำเนินโครงการร่วมกับผู้ประกอบการ ทั้งด้านการพัฒนาฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมของวัสดุพื้นฐานและพลังงานของประเทศ การจัดทำคู่มือข้อมูลวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCI-LCA) การส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ และองค์กรในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้ดำเนินงานร่วมกับภาคีพันธมิตรที่เกี่ยวข้องมาอย่างต่อเนื่องและพยายามขยายผลให้ครอบคลุมไปทุกๆกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง
นายเชวง กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานโครงการในปี 2557 นี้ มีองค์กรนำร่องเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้นจำนวน 38 แห่ง โดยเป็นการขยายผลการดำเนินงานให้คลอบคลุมประเภทอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากมีการคำนวณข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และสามารถนำไปบริหารจัดการเพื่อหาแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคอุตสาหกรรมในการเข้าสู่ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme) ในกรณีที่ประเทศไทยต้องกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปในอนาคต
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ต้องขอขอบคุณ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ที่เป็นพันธมิตรที่ดีในการสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรมาโดยตลอด โดยทำการสนับสนุนด้านงบประมาณ บุคคลากรและด้านวิชาการในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมถึงองค์กรนำร่องทั้ง 38 แห่ง ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งการผลิตและการบริการในองค์กร โดยได้เข้าร่วมเป็นองค์กรนำร่องในการดำเนินโครงการนี้จนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้
“สำหรับการสัมมนาเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดตัว 38 องค์กรนำร่อง ที่ได้รับคัดเลือกจากบริษัทที่สนใจสมัครเข้าร่วมประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จะเป็นสื่อกลางที่ทำให้ทุกภาคส่วนเห็นประโยชน์ และความสำคัญของการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากองค์กรนั้นๆ รวมทั้งทำให้ทุกภาคส่วนได้เข้าใจหลักการในการประเมินค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และทราบถึงแนวทางในการเตรียมตัวเพื่อขอรับการรับรองผล ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้แล้ว ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของตนให้สามารถบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนได้ และมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยสนับสนุน และเป็นต้นแบบสำหรับองค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป” นายเชวง กล่าว