นายโรเบอร์โต้ กัลลิเอรี กรรมการผู้จัดการร่วมบริษัท ปูนซีเมนต์เอเซีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปูนซีเมนต์ได้ผลิตปูนซีเมนต์เพื่อสนองตอบความต้องการของตลาดในประเทศไทยมาเป็นเวลา 25 ปี แล้ว ด้วยกำลังการผลิตกว่า 5 ล้านเมตริกตันต่อปี โดยเน้นเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการเป็นหลัก นอกจากนั้น ยังได้ให้ความสำคัญในนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น เรื่องสุขภาพความปลอดภัย การอนุรักษ์พลังงานสิ่งแวดล้อมโดยรอบบริเวณที่ตั้งโรงงาน มีการตรวจติดตามสิ่งที่อาจก่อให้เกิดมลภาวะ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีมลภาวะที่เกิดจากโรงงานไปรบกวนประชาชนที่อาศัยอยู่รอบๆ บริเวณโรงงานและชุมชนใกล้เคียง หลายปีที่ผ่านมานี้ บริษัทฯ ได้เน้นถึงความสำคัญในการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความรับผิดชอบของพนักงานทุกคนที่มีต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ทำการตรวจติดตามการกำจัดของเสียจากโรงงานอย่างต่อเนื่อง และ จัดทำรายงานผ่านทางระบบการรายงานข้อมูลกลางของบริษัทฯ ซึ่งการดำเนินงานดังกล่าวนี้เป็นไปตามข้อกำหนดในพิธีสารของสภาธุรกิจโลกเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นับตั้งแต่เปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2532 ได้จัดทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์และกิจกรรมเพื่อชุมชนมากมายหลายหลากอย่างต่อเนื่องตลอดมา อาทิ การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน การสร้างและสนับสนุนกิจการห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดชุมชน การสร้างถังเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน การสร้างสนามเด็กเล่น การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการแก่ชาวบ้านในชุมชนที่อยู่รอบๆ โรงงานโดยไม่คิดค่าตรวจรักษา การปลูกป่า การจัดโครงการผ้าป่าหนังสือเพื่อเด็กในชนบท เป็นต้น ในปีนี้ เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปี จึงจัดทำโครงการ “25 โรงเรียนพลังงานหมุนเวียนเพื่อการศึกษา” เพื่อสร้างความผูกพันที่ยั่งยืนกับพนักงาน ชุมชน และสถานศึกษา
ด้านนายนภดล รมยะรูป กรรมการผู้จัดการกล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ “25 โรงเรียนพลังงานหมุนเวียนเพื่อการศึกษา” ซึ่งจัดอยู่ในนโยบายโครงการทางด้านสังคมและยังเชื่อมโยงกับนโยบายสิ่งแวดล้อมและพลังงาน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปพลังงานของประเทศไทย ซึ่งลักษณะของโครงการคือการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (On Grid Solar PV Rooftop) ขนาด 4 กิโลวัตต์คู่ขนานกับไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง ในพื้นที่ที่โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ของบริษัทฯตั้งอยู่คือ อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งพื้นที่ทุกภูมิภาคที่มีตัวแทนจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ โรงเรียนในโครงการทั้งหมดนี้สังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังจัดทำคู่มือความรู้อย่างง่ายๆ ให้เหมาะกับระดับชั้นการศึกษา เพื่อใช้ประกอบการเรียน การสอนในวิชาวิทยาศาสตร์เรื่องเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การศึกษาด้านพลังงานหมุนเวียน การผลิตพลังงานเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์พลังงาน และยังสามารถใช้ประกอบการศึกษาในวิชาอื่นอีกด้วย ซึ่งผลพลอยได้จากโครงการนี้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่แต่ละโรงเรียนจะได้รับคือค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่ลดลงประมาณ 80%-90% เท่ากับได้รับงบประมาณค่าใช้จ่ายของโรงเรียนเพิ่ม 13-16% ตลอดไปทุกปี และโรงเรียนที่ร่วมโครงการยังเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องพลังงานหมุนเวียนของประชาชนในชุมชนนั้นที่สามารถจะนำไปประยุกต์และขยายผลต่อไปในภาคครัวเรือนได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมานานแล้วแต่ยังเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทยเพราะมีมูลค่าการลงทุนสูง ซึ่งโครงการนี้บริษัทฯ ใช้เงินลงทุน ประมาณ 7 ล้านบาท ผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงทั้งโครงการต่อปีประมาณปีละ720,000 บาท และลดปริมาณคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ปีละประมาณ 90,000 กิโลกรัมต่อเนื่องไปตลอดอายุการใช้งาน แต่ผลตอบแทนสูงสุดคือความรู้และจิตสำนึกของเยาวชนของชาติและชุมชนที่ไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขได้ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ โครงการเช่นนี้จะเป็นที่ยอมรับและแพร่หลายมากขึ้นในประเทศของเรา เนื่องจากเป็นระบบผลิตไฟฟ้าที่ไม่มีมลพิษ และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกๆ ด้าน อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศไทยมาจากพลังงานจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงซึ่งเกิดก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์สู่บรรยากาศอันเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน