Crayon Pop กล่าวผ่านหน้าเว็บ www.7-percent.org ว่า รู้สึกดีใจมากที่จะได้มาประเทศไทย และได้มีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการดีๆแบบนี้ พร้อมทั้งกล่าวเชิญชวนให้แฟนๆทุกคนมาร่วมชมการแสดงของพวกเธอและให้ทุกคนมาพร้อมกับหมวกกันน็อคสุดเจ๋งของตัวเอง เพื่อเตรียมเต้น Bar Bar Bar ไปด้วยกัน
ด้วยท่าเต้นที่ทะเล้นสนุกสนานไม่เหมือนใคร ทำให้ Crayon Pop กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่มาแรงที่สุดในวงการ K-Pop จนล่าสุด
เลดี้ กาก้า ออกปากชวนร่วมทัวร์อเมริกาด้วยกันมาแล้ว พวกเธอจะขึ้นแสดงพร้อมสวมหมวกกันน็อคคู่ใจเสมอจนเกิดกระแสหมวกกันน็อคฟีเวอร์ เมื่อในปีที่ผ่านมา มีคนอัพโหลดการเต้น “คัฟเวอร์แดนซ์” เพลง Bar Bar Bar กว่าล้านคนผ่าน Youtube
“รู้สึกดีใจและตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งที่ Crayon Pop จะเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมรณรงค์ให้เด็กๆ สวมหมวกกันน็อค”
อลิสัน เซลโควิทซ์ ผู้อำนวยการองค์การช่วยเหลือเด็กประจำประเทศไทยกล่าว
“ประเทศไทยมีถนนที่อันตรายเป็นอันดับสองของโลก ทุกปีมีเด็กเสียชีวิตกว่า 2,600คน และอีกกว่า 72,000คนได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมีเด็กเพียง 7% เท่านั้นที่สวมหมวกกันน็อคซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ เราจึงต้องการให้โครงการนี้เป็นจุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลง โดยให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อช่วยกันดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กๆ”
ด้านนางรัตนวดี เหมนิธิ วินเธอร์ ผู้อำนวยการประเทศไทย มูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (AIP Foundation) กล่าวว่า“จากประสบการณ์ทำงานกว่า 15 ปีของเอไอพีในการดำเนินโครงการด้านความปลอดภัยบนท้องถนนไปทั่วโลก พบว่าเส้นทางที่เด็กใช้บ่อยที่สุด คือจากบ้านไปโรงเรียน และเส้นทางดังกล่าวก็เป็นเส้นทางที่เกิดอุบัติเหตุกับเด็กๆมากที่สุดแห่งหนึ่งอีกด้วย เราจึงวางแผนทำงานร่วมกับโรงเรียนและครอบครัว เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัย ที่ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญของการใส่หมวกกันน็อค”
รายละเอียดงาน
ชื่องาน: The 7% Project Presents หมวกน้องซ้อนต้องใส่
สถานที่: หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
วันที่: 23 พย. 2557
รายละเอียดศิลปินไทยที่จะเข้าร่วมงานทั้งหมดจะแจ้งให้ทราบในเดือน พย. โดยจะมีงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันที่22 พย. 2557
ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวและร่วมกิจกรรมได้ผ่านทาง
hashtag #helmetpop
https://www.facebook.com/7percent.org
https://twitter.com/7percentorg
http://instagram.com/7percentorg
รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการ
ทุกวันน้องๆ วัยเรียนราว 18 ล้านคนเดินทางโดยการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ แต่มีเพียง 7% เท่านั้น ที่สวมหมวกกันน็อค แม้ว่าจะมีกฎหมายบังคับใช้ แต่ด้วยความคิดที่ว่า “โรงเรียนอยู่ใกล้ๆ ไม่เป็นไรหรอก” หรือ “ใส่แล้วรำคาญ” การเดินทางบนท้องถนนจึงกลายเป็นสาเหตุ อันดับ 1 ของการบาดเจ็บและเสียชีวิตของเด็กในประเทศไทย โดยในแต่ละวัน มีเด็กกว่า 200 คน ได้รับบาดเจ็บ และ 7 คนเสียชีวิต
เพราะความสูญเสียเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพียงแค่ให้เด็กสวมหมวกกันน็อค เครือข่ายองค์กรผู้เชี่ยวชาญด้านคุ้มครองเด็กและป้องกันอุบัติภัยบนท้องถนน นำโดยมูลนิธิป้องกันอุบัติภัยแห่งเอเชีย (Asia Injury Prevention Foundation – AIP) และองค์การช่วยเหลือเด็ก (Save the Children) ได้ร่วมมือกันริเริ่มโครงการรณรงค์ให้เด็กๆ ที่เดินทางด้วยการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อคทุกครั้ง ภายใต้ชื่อโครงการ The 7% Project
เนื่องจากการเดินทางจากบ้านไปกลับโรงเรียนคือเส้นทางหลักสำหรับครอบครัวในแตล่ะวัน ในปีนี้จึงเริ่มต้นการทำงานร่วมกับโรงเรียนประถมศีกษาในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นอันดับแรกเพื่อรณรงค์ให้หมวกกันน็อคกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดนักเรียนโดยจะทำงานร่วมกับชุมชน เด็กๆ ผู้ปกครอง ครู และประชาชนทั่วไปที่สนใจ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์วัฒนธรรมความปลอดภัย
ในปีต่อๆไปโครงการนี้จะขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆทั่วประเทศ พร้อมกับขยายขอบข่ายการร่วมงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อเพิ่มการรณรงค์ให้ครอบคลุมทุกเส้นทางการเดินทางของเด็กๆ และตั้งเป้าเพิ่มอัตราการสวมหมวกนิรภัยของเด็กจาก 7% ให้เป็น 60% ทั่วประเทศภายในปี 2560
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง The 7% Project จะดำเนินงานควบคู่กันใน 4 ด้าน ได้แก่
การศึกษา – เสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับวิธีการใช้และประโยชน์ของหมวกกันน็อค ทั้งในวิชาพื้นฐานและกิจกรรมนอกหลักสูตร จัดอบรมสำหรับคุณครูและผู้ปกครอง เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงผลกระทบของอุบัติเหตุ
การสื่อสารกับมวลชน – จุดประกายความคิด จัดกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และรายงานทุกความเคลื่อนไหวของโครงการ ตลอดจนเปิดให้ทุกฝ่ายร่วมกันผลักดันการรณรงค์ให้ไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืน
การบังคับใช้ – ร่วมมือกับโรงเรียนในการออกกฎให้เด็กที่เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ต้องสวมหมวกกันน็อค และขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการผลักดันกฎหมายหมวกกันน็อค ให้มีผลบังคับใช้ครอบคลุมทุกเส้นทาง
การสร้างนวัตกรรม – จัดหาหมวกกันน็อคที่มีดีไซน์โดนใจเด็กและวัยรุ่น มีขนาดที่พอดีกับศีรษะ และราคาไม่แพง รวมทั้งเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้แสดงตัวตนของพวกเขาผ่านหมวกกันน็อค