ทำเลกรุงเทพฯ ตอนเหนือบูม “แลนด์ลอร์ด” งัดแผนพัฒนารับฮับรถไฟฟ้า - รับมือภาษีที่ดินใหม่

อังคาร ๑๑ พฤศจิกายน ๒๐๑๔ ๑๑:๔๕
การขยายโครงข่ายระบบขนส่งมวลชนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐบาลจะยังช่วยสนับสนุนอุปสงค์ของที่อยู่อาศัย ในขณะที่โครงการขยายระบบขนส่งมวลชนของรัฐบาลเดินหน้าทำให้พื้นที่ชานเมืองกรุงเทพฯ สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและยังสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ขึ้นตามแนวรถไฟฟ้า

นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า นอกจากทำเล “กรุงเทพฯ ชั้นใน” ไม่ว่าจะเป็นสุขุมวิท สาทร ย่านรัชดาฯ และทำเลอื่นๆ ที่บูมการซื้อ-ขายที่ดินและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แล้วบริษัทฯ ยังมองว่ายังมีทำเลทางฝั่งทิศเหนือของกรุงเทพฯ ตั้งแต่ BTS หมอชิต สถานีปลายทางฝังเหนือของรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเรื่อยไปยังห้าแยกลาดพร้าว ต่อเนื่องไปจนถึงรังสิต เป็นทำเลที่ดี มีศักยภาพ รองรับการเติบโตและการขยายตัวของเมือง โดยสาเหตุที่โฟกัสในทำเลดังกล่าวด้วยเหตุผลประกอบคือ BTS หมอชิตเป็นสถานีที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้ามหานครหรือรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT จตุจักร เหมาะแก่การคมนาคมจากกรุงเทพฯ ออกสู่ต่างจังหวัดและปริมณฑล (เหนือและอิสาน) และยังอยู่ติดกับสถานีรถไฟฟ้าบางซื่อและในบริเวณนี้จนถึงห้าแยกลาดพร้าวถูกวางให้เป็นฮับของรถไฟฟ้าในอนาคต

การเลือกใช้เส้นทางตรงนี้สามารถทำได้หลากหลายมากไม่ว่าจะเข้าหรือออกตัวเมือง ยิ่งไปกว่านั้นมีโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากหมอชิตถึงสะพานใหม่ รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วงบางใหญ่ที่กำลังจะเปิดทำการในเร็วๆ นี้ ที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่สถานีรถไฟบางซื่อ รวมไปถึงรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินบางซื่อ – ท่าพระ และหัวลำโพง ที่มีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดที่สถานีรถไฟบางซื่อด้วยเช่นกัน และพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นแนวทางการก่อสร้างของรถไฟชานเมืองสายสีแดงบางซื่อ – รังสิต กำหนดสร้างแล้วเสร็จปี พ.ศ. 2561โดยใช้สายทางเดิมโครงการโฮปเวลล์หรือโครงการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร

?

“แยกลาดพร้าว” สมรภูมิใหม่ลงทุนคอนโดฯ – ออฟฟิศ – รีเทล

ทั้งนี้จากข้อมูลของฝ่ายวิจัยการตลาดและการลงทุนของบริษัทเซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) นั้นกล่าวว่าในช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมาทำเลบริเวณห้าแยกลาดพร้าวและใกล้เคียงของถนนคู่ขนานถนนพหลโยธิน ตั้งแต่ช่วง รถไฟฟ้า BTS หมอชิต กับถนนวิภาวดีรังสิต มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก มีคอนโดฯ ตามซอยผุดขึ้นมาหลายโครงการ ส่งผลให้การอยู่อาศัยในชุมชนย่านนี้เปลี่ยนรูปแบบไปมากพอสมควร เช่น โครงการคอนโดมิเนียม อิควิน๊อคซ์ พหล-วิภา ของบมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งนอกจากจะมีที่อยู่อาศัยเป็นตึกแฝดคู่กันแล้ว ภายในโครงการดังกล่าวยังมีพื้นที่ให้เช่าเพื่อเป็นรีเทลประมาณ 1,800 ตร.ม.และอาคารสำนักงาน Equinox The Office Place ที่ล่าสุด บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ได้ซื้อจาก เมเจอร์ฯ ไปในราคากว่า 2,000 ล้านบาท, โครงการซิม คอนโดวิภา-ลาดพร้าวของบริษัท ธนาพัฒน์ฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ในย่านดังกล่าวยังมีอาคารสำนักงานไม่ว่าจะเป็น อาคารบางกอกแอร์เวย์, อาคารเล้าเปงง้วน, ตึกซัน และธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ “ผมว่าย่านนี้จะเป็นอีก cluster ที่มีทั้งคอมเมอร์เชียล เรซิเดนซ์เชียลแบบชนิดที่เกิดรีเทลคอนโดฯ และศูนย์การค้าในรูปแบบคอมมิวนิตีมอลล์” นายกิติศักดิ์ กล่าว พร้อมกับได้ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นที่น่าจับตามองว่ากลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านการสื่อสารและพลังงานซึ่งเกือบจะทั้งหมดและเป็นรายใหญ่มีสำนักงานอยู่บริเวณนี้ และเชื่อว่าที่นี่น่าจะเป็นอีกจุดที่สำคัญที่กลุ่มธุรกิจทั้งชาวไทยและต่างชาติให้ความสนใจ อีกทั้งออฟฟิศให้เช่าเกรด A ก็ค่อนข้างมีน้อย และยิ่งพื้นที่ในย่านนี้ถูกรัฐบาลวางอนาคตให้เป็นฮับรถไฟฟ้าควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคยิ่งจะช่วยสนับสนุนให้ต่างชาติมาใช้ไทยเป็นสำนักงานใหญ่ของหลายๆ บริษัท ก็ว่าได้

ทั้งนี้โครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในย่านดังกล่าวในช่วงก่อนหน้านี้ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 90,000 - 100,000 บาท/ตร.ม. และเชื่อว่าโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ที่เปิดตัวราคาขายเริ่มต้นที่กว่า 100,000-120,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่ราคาที่ดินที่มีการซื้อขายกันน่าจะขยับขึ้นเป็น 500,000 - 600,000 บาท/ตร.ว. เพิ่มสูงขึ้นจากปีก่อนๆ ที่ราคาขายกันอยู่ประมาณ 200,000 - 350,000 บาท/ ตร.ว

โดยโครงการคอนโดมิเนียมที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องถึงต้นปี พ.ศ. 2558 มีโครงการ The Saint ของบริษัท ซาลาน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เจ้าของเดียวกับกลุ่มเซนต์จอห์น ที่นำเอาที่ดินเกือบ 7 ไร่บริเวณห้าแยกลาดพร้าว (ฝั่งวิภาวดีรังสิต) พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมสูง 41 ชั้นรวมมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ส่วนโครงการรวมทุนระหว่างกลุ่มบริษัทบีทีเอส กับบมจ.แสนสิริ ที่ประกาศแผนล่าสุดว่าจะนำเอาที่ดินของ BTS บริเวณสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต จำนวน 5 ไร่ จากที่ดินทั้งหมด 16 ไร่ มาพัฒนาคอนโดมิเนียมสูง 43 ชั้น จำนวน 900 ยูนิต มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 5,300 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการลงทุน 1,200 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดการขายในเดือนมีนาคม 2558

ในส่วนของทำเลสถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิตยังมีที่ดินแปลงใหญ่จำนวนกว่า 60 ไร่เป็นแปลงเดิมที่โครงการบางกอกเทอร์มินอล ซึ่งเป็นที่ดินของราชพัสดุที่คาดการณ์กันว่ากระทรวงการคลังจะรื้อสัญญาเพื่อนำออกมาให้ผู้ประกอบการเอกชนที่สนใจประมูลใหม่ หากเป็นจริงหรือมีการลงทุนในที่ดินแปลงดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้ทำเลบริเวณนี้มีความคึกคักเป็นอย่างมาก

ด้วยศักยภาพของทำเลที่เข้า – ออกตัวเมืองได้อย่างสะดวกนั้น เมื่อข้ามสะพานห้าแยกลาดพร้าวไปยังดอนเมือง ด้านซ้ายเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของปตท. และที่ถือเป็นไฮไลต์ก็คือที่ดินร่วม 50 ไร่ริมถนนพหลโยธิน (ตรงข้ามแดนเนรมิตเดิม) และถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งเดิมพัฒนาภายใต้ชื่อโครงการ บางกอกโดม โดยบริษัทยูนิเวสท์แลนด์ จำกัด บริษัทอสังหาฯ ของตระกูล “บุญดีเจริญ” แต่เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้โครงการนี้หยุดไป ที่ดินแปลงดังกล่าวจึงตกไปเป็นของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยหรือบสท. และเคยนำออกมาประมูลแล้วปัจจุบันเท่าที่ทราบที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดความคุ้มค่าในการพัฒนา

ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักทั้งยังติดถนนสายหลัก 2สาย คือ พหลโยธินและวิภาวดีรังสิต ใกล้ทางด่วนและที่อยู่ในแนวเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวหมอชิต - สะพานใหม่ เป็นที่ดินที่มีศักยภาพสูงมากจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะพัฒนาในรูปคอมเพล็กซ์ครบวงจรที่มีทั้งที่อาคารสำนักงานในลักษณะออฟฟิศปาร์ค และที่อยู่อาศัย โดยที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่บนผังเมืองสีส้ม ประเภท ย.7- 4 หรือที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง สามารถสร้างอาคารที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม

ขนาดใหญ่มากกว่า 10,000 ตร.ม.ได้ เนื่องจากติดกับถนนที่มีขนาดเขตทางมากกว่า 30 เมตร

“เส้นวิภาวดีรังสิตน่าจะเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มทุนในการนำเอาแลนด์แบงก์ออกมาพัฒนาและราคาที่อยู่อาศัยน่าจะปรับขึ้นทุกปีรวมถึงราคาที่ดินที่ซื้อขายเปลี่ยนมือกันก็น่าจะปรับขึ้นอย่างน้อย 30-40%” นายกิติศักดิ์ กล่าว พร้อมกับให้เหตุผลว่า ในย่านนี้จะมีโครงการลงทุนเกิดขึ้นอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ปตท.ซึ่งปัจจุบันเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และหมดอายุสัญญาเช่าช่วงแรกไปเมื่อเดือนมีนาคม 2556 นั้น ก็มีกระแสข่าวว่าปตท.จะซื้อที่ดินขนาดใหญ่ราว 70 ไร่ ในบริเวณโลคัลโรด วิภาวดีรังสิตใกล้กับโครงการนอร์ธปาร์ค

ทำเลที่ดินในฝั่งกรุงเทพฯ ตอนเหนือแถวโลคัลโรดจากนี้ไปคงมีความเคลื่อนไหวทั้งการเปลี่ยนมือและการลงทุนกันค่อนข้างมากและที่ดินที่มีอยู่จะเป็นแปลงใหญ่และอยู่ในมือของกลุ่มทุนรายใหญ่ เช่น กลุ่มบริษัทแกรนด์ คาแนล แลนด์ หรือกลุ่มจีแลนด์ ก็มีแผนนำเอาที่ดินในย่านวิภาวดีรังสิต ออกมาพัฒนาทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมไม่ว่าจะเป็นที่ดินย่านหลักสี่ใกล้โรงแรมมิราเคิล 36 ไร่, พัฒนาโครงการแกรนด์ คาแนล ดอนเมืองเฟส 2 เนื้อที่ 100 ไร่พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวและนำเอาที่ดินในโครงการเดียวกันจำนวน 30 ไร่มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมด้วยเช่นกัน

แนะระบาย Inventory - แบ่งเฟสพัฒนารับมือภาษีใหม่

พร้อมกันนี้ผู้บริหารของเซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) ให้ความเห็นเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างว่า จะยังไม่บังคับใช้จนกว่าจะถึงปี พ.ศ. 2559 เนื่องจากประเมินภาษีอ้างอิงจากราคาประเมินที่ดิน ซึ่งขณะนี้ภาครัฐคงมีการประเมินราคาที่ดินใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น และราคาประเมินรอบใหม่จะเริ่มประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2559 จากการศึกษาเบื้องต้นพบมีทั้งข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบต่อธุรกิจ ดังนี้

ข้อดี ข้อเสีย

1.ลดการถือครองที่ดินเพื่อเก็งกำไร เพิ่มคู่แข่งในการพัฒนาอาคารชุด

2.ช่วยชะลอการชึ้นของราคาที่ดิน ทำให้เกิดการแข่งขันการระบายสินค้าสต๊อก (Inventory) เพื่อลดภาระภาษีที่ดิน

3.เปลี่ยนจากการเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับทรัพย์ส่วนกลางของนิติบุคคลอาคารชุด เป็นภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างเชิงพาณิชย์ในอัตรา 0.5% แทน

โดยข้อดี คือ 1.ลดการถือครองที่ดินเพื่อเก็งกำไรระยะยาว 2.ช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน ซึ่งพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง1 – 2 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในส่วนที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง และ 3.ค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลอาคารชุดที่ต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับทรัพย์ส่วนกลาง โดยจ่ายเป็นภาษีที่ดินสิ่งปลูกสร้างใช้งานในเชิงพาณิชย์แทนในอัตรา 0.5% ของราคาประเมิน แต่ต้องติดตามเรื่องการคิดขนาดพื้นที่ส่วนกลางในการเก็บภาษีซึ่งจะมีเงื่อนไขหรือวิธีคิดอย่างไร ส่วนข้อเสีย คือ 1.เพิ่มคู่แข่งในการพัฒนาอาคารชุด เนื่องจากการทยอยนำแลนด์แบงก์ออกมาพัฒนา และ 2.ทำให้เกิดการแข่งขันในการนำ สินค้าค้างสต็อก (Inventory) ออกมาขายมากขึ้นเพื่อลดภาระภาษีที่ดิน และจากนี้ไปผู้ประกอบการที่จะได้เปรียบก็คือ การทำให้ Inventory เหลือน้อยที่สุดหรือต้องเร่งระบายออกให้หมด ส่วนผลกระทบต่อธุรกิจในด้านต้นทุนและแนวทางในการพัฒนาโครงการนั้น คือจะส่งผลกระทบต่อการเลือกซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ โดยที่ดินขนาดใหญ่ต้องมีการแบ่งเป็นเฟสการพัฒนาโครงการ เป็นต้น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๓๑ ม.ค. รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว.จริงหรือ?
๓๑ ม.ค. บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ MBK ส่งมอบปฏิทินในกิจกรรม ปฏิทินเก่ามีค่า เราขอ
๓๑ ม.ค. BSRC ออกหุ้นกู้รอบใหม่ 8,000 ล้านบาท ยอดจองเกินเป้า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน
๓๑ ม.ค. คปภ. ร่วมสัมมนาประกันภัย ครั้งที่ 29 เตรียมรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่ พลิกโฉมธุรกิจประกันภัยสู่ความท้าทายในอนาคต
๓๑ ม.ค. มอบของขวัญให้กับครอบครัวของคุณช่วงวันหยุดพิเศษที่ สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก สุขุมวิท
๓๑ ม.ค. OR เปิดตัว CEO คนใหม่ หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ มุ่งผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิทัล-นวัตกรรม
๓๑ ม.ค. เดลต้า ประเทศไทย คว้ารางวัล ASEAN's Top Corporate Brand ประจำปี 2567
๓๑ ม.ค. โรงแรมอลอฟท์ กรุงเทพ สุขุมวิท 11 พลิกโฉมใหม่ สุดโมเดิร์น! พร้อมเปิดตัว w xyz bar ตอกย้ำความสนุกในแบบฉบับ
๓๑ ม.ค. PAUL JOE เปิดตัว GLOSSY ROUGE ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ 2025
๓๑ ม.ค. บริษัท โกซอฟท์ (ประเทศไทย) ได้รับเกียรติบัตรศูนย์ รับเรื่องและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคระดับดีเด่น จาก สคบ. และการรับรองมาตรฐาน ISO