นายพงษ์ดิษฐ พจนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง กล่าวว่า การดำเนินงานในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรไว้ได้ตามเป้าหมาย โดยกำไรก่อนต้นทุนทางการเงินและภาษีเงินได้ มีจำนวน 8,206 ล้านบาท ส่วนรายได้รายการที่มีนัยสำคัญสำหรับงวดนี้ ประกอบด้วย รายได้จากการขายไฟฟ้า ส่วนแบ่งกำไรในกิจการที่ควบคุมร่วมกัน และเงินปันผลรับ ได้เพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งเสริมสร้างให้กระแสเงินสดของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและมีความมั่นคงทางการเงินได้เป็นอย่างดี
“กำไรจำนวน 6,167 ล้านบาท จากการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนปีนี้ เป็นผลลัพธ์จากบริหารประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องแล้ว การจัดการสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่างคุ้มค่า การควบคุมค่าใช้จ่าย และการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กรได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญเป็นการตอบสนองต่อแผนกลยุทธ์ 10 ปีของบริษัทฯ ที่ต้องการผลักดันมูลค่าองค์กรให้เติบโตถึง 282,000 ล้านบาทในปี 2566 จากปัจจุบันที่ 108,000 ล้านบาท และในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าราชบุรีเวอล์ดโคเจนเนอเรชั่น หน่วยที่ 1 กำลังการผลิต 105 เมกะวัตต์ ซึ่งจะผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อันจะทำให้รายได้ของบริษัทฯ และมูลค่าองค์กรเพิ่มสูงขึ้นด้วย” นายพงษ์ดิษฐ กล่าว
ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกในปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 43,109.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อน ร้อยละ 11.13 มาจากรายได้จากการขายและการให้บริการ จำนวน 35,710.40 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2556 จำนวน 3,399.32 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมลงทุนในกิจการร่วมกัน จำนวน 1,030.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.07 ดอกเบี้ยรับ และเงินปันผลรับ จำนวน 187.57 ล้านบาท และ 235.95 ล้านบาท ตามลำดับ
บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของไทย ปัจจุบันมีกำลังผลิตติดตั้งรวม 6,565 เมกะวัตต์ โดย 5,561 เมกะวัตต์ เป็นกำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว และ 1,004 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการก่อสร้างและพัฒนา โดยมีฐานลงทุนใน 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย (4,936.5 เมกะวัตต์) สปป. ลาว (1,096.5 เมกะวัตต์) ออสเตรเลีย (509.52 เมกะวัตต์) และญี่ปุ่น (22.48 เมกะวัตต์) ณ วันที่ 30 กันยายน 2557 บริษัท มีสินทรัพย์รวม 98,307.7 ล้านบาท หนี้สินรวม 36,416.95 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 61,890.75 ล้านบาท ขณะที่ กำไรสะสม เป็นจำนวน 45,943 ล้านบาท