นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรงเปิดเผยว่า “ ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง อยู่คู่กับสมุทรปราการมา 32 ปีแล้ว ยุคแรกๆที่เราเปิดตัวในปี2526 เราใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง เราเปิดศูนย์การค้าที่ชานเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งก็คือสมุทรปราการ หลังจากนั้น เมื่อการแข่งขันตามชานเมืองมีการขยายตัวมากขึ้น เราก็มีการปรับเปลี่ยนในเรื่องกลยุทธ์มาให้การดูแลพี่น้องย่านสำโรงมากขึ้น เน้นความเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ยุคที่สองช่วงปี 2540 - 2550 เป็นยุคที่เจอภาวะเศรษฐกิจหรือยุคต้มยำกุ้งทางเราจึงได้มีการปรับตัวและลดขนาดของศูนย์การค้าฯ ลงและได้ปิดตัวสาขาที่ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองลง และมาโฟกัสที่ อิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง โดยเน้นหนักในตัวของศูนย์การค้า หลังจากปี 2550 เป็นต้นไปสถานะทางการเงินเราดีขึ้น เราก็ได้มีการพัฒนาและจัดโซนนิ่งต่างๆ และก็มาศึกษาในส่วนของกลุ่มลูกค้าจริงๆ ของเราว่าคือกลุ่มใดและอยู่ที่ไหนบ้าง รวมถึงตัวสินค้าที่จะตอบสนองความต้องการลูกค้าว่าต้องการอะไร ถ้าพูดถึงกลุ่มลูกค้าของเราส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ C ถึง C+ แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าในส่วนของกลุ่ม B ด้วย แม้ในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้การจับจ่ายมีน้อยลงแต่เราเองก็พยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าให้มาใช้บริการ โดยทางเราเองก็ได้มีการคัดสรรตัวร้านค้าต่างๆ และก็มีการจัดโซนใหม่ๆ เพราะร้านค้าที่นี่ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าเช่าระยะยาวทางเราก็ได้มีการปรับเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ เพื่อจะได้เจาะกลุ่มลูกค้าระดับ B ให้มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะมากันแบบครอบครัว หรือเป็นคนทำงาน และเมื่อปีที่ผ่านมา ทางศูนย์การค้าฯ ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไประดับหนึ่ง เรามีการพัฒนาในโซนต่างๆ เรื่อยมา และในปีนี้เองก็ได้มีการเปิดโซน Fashion Street Art ในพื้นที่5,000 ตารางเมตร มีสินค้าแฟชั่นครบสตอรี่ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเสื้อผ้า สินค้าแฟชั่นของผู้หญิงหรือผู้ชาย รวมทั้งในปลายปีนี้ก็จะเพิ่มในส่วนของโซนการศึกษาสำหรับเด็ก รวมไปถึงการปรับปรุงโซนไอทีซึ่งเรามีพื้นที่อยู่ประมาณ 10,000 ตารางเมตร ก็จะใช้เวลาประมาณ 6-9 เดือนในส่วนของโซนไอที ชั้น 4 เพื่อให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น สามารถตอบสนองเทคโนโลยีให้มีความทันสมัยให้มากยิ่งขึ้น ในส่วนของกลุ่มของครอบครัวนั้น เราก็จะเน้นไปที่โซนของศูนย์อาหาร เราได้คัดสรรรวบรวมในกลุ่มร้านอาหารประมาณ 20 กว่าร้านค้าที่ชั้น G และจะมีร้านอาหารเข้ามารองรับมากขึ้น
สรุปได้ว่า ในช่วงปี 2550 ถึงปัจจุบัน ศูนย์การค้าฯได้มีการพัฒนาไปแล้ว 60 - 70 % ในส่วนของโซนที่มีการปรับปรุงไปแล้ว เพราะอย่างที่เราบอกไปทางเราได้ติดในส่วนของสัญญาเช่าและสัญญาเช่าก็จะหมดลง แต่การพัฒนาของเรา เราก็ยังสนับสนุนในการทำธุรกิจทั้งขนาดกลางและขนาดเล็ก อย่างเช่นโซนแฟชั่นก็จะเป็นสินค้า SMEเป็นส่วนใหญ่ และในปัจจุบัน จ.สมุทรปราการเป็นเมืองที่มีการเติบโตเร็วมาก มีคู่แข่งในการทำธุรกิจด้านนี้มากขึ้น แต่ทุกวันนี้เราเองไม่ได้แข่งกับคู่แข่ง แต่เราต้องแข่งขันกับตัวเองเพราะตัวเราอยู่มา 32 ปี ต้องมีความเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าไม่ว่าจะในเขตของชุมชน เขตการศึกษารวมถึงการเข้าถึงศาสนาซึ่งศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง มีความผูกพันกับชุมชนสมุทรปราการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งเราเองก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปกับลูกค้าและชุมชน เราไม่ได้ไปอย่างก้าวกระโดด
ตลอด 32 ปี ที่ผ่านมาเราก็เป็นรู้จักในกลุ่มคนรุ่นอายุ 50 - 60 ปี เราจึงอยากที่เจาะในกลุ่มวัยรุ่นที่โตมากับศูนย์การค้าแต่ลืมเลือนไป เราได้มีการสร้างกิจกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มวัยรุ่น เราเพิ่มงานด้านCSR ทั้งงานที่จัดร่วมกับชุมชน, เยี่ยมตามโรงเรียน อะไรก็ตามที่ศูนย์การค้าสามารถตอบแทนชุมชนได้เราก็ทำไม่ว่าจะการบริจาคตู้หนังสือหรือรองเท้าให้กับเด็กๆตามโรงเรียนต่างๆ ซึ่งบางชุมชนก็มีการพัฒนาแล้ว ส่วนบางชุมชนที่ยังไม่มีการพัฒนา ทางเราก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือ และในช่วงปี 2560 - 2562 ทางเราก็มีแผนที่จะพัฒนาตัวศูนย์การค้าทั้งหมดรวมไปถึงโซนสวนน้ำซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับศูนย์การค้าฯ มาตั้งแต่แรก ทั้งนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของลูกค้าเนื่องจากเรามีโครงการที่จะต่อเชื่อมทางเข้าออกจากตัวศูนย์การค้าฯ ไปยังสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้ลูกค้าเข้ามายังตัวอาคารได้สะดวกขึ้น ทั้งหมดที่กล่าวมาก็เพื่อรองรับการเติบโตของเมืองสมุทรปราการ และกลุ่มลูกค้าและกลุ่มนักท่องเที่ยว ที่เพิ่มขึ้นพร้อมการขยายตัวของเมือง และตามผู้อาศัยในคอนโดต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกับรถไฟฟ้า ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และครบครันในการมาจับจ่ายที่ศูนย์การค้าอิมพีเรียล เวิลด์ สำโรง ” คุณโอฬาร ฯ กล่าวทิ้งท้าย