นายวิรัฐ สุขชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์วิคเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ FIRE ผู้ดำเนินธุรกิจนำเข้าและผู้แทนจำหน่ายสินค้าคุณภาพจากสหรัฐและยุโรป เกี่ยวกับอุปกรณ์สำหรับดับเพลิงด้วยน้ำ น้ำยาโฟม ก๊าซและสารเคมี พร้อมทั้งอุปกรณ์สำหรับการตรวจสอบและเตือนภัยที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน รวมทั้งระบบสุขาภิบาลและระบบปรับอากาศครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงภายในเดือนธันวาคมนี้ บริษัทฯอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการไปเจรจาข้อตกลงกับบริษัทพันธมิตร ในประเทศยุโรป ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์สำหรับดับเพลิง เพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทย
ทั้งนี้ หากดีลการเจรจาในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสำเร็จ บริษัทฯสามารถเริ่มทำการตลาด และ จำหน่ายในเชิงพาณิชย์ ภายในปี2558 ซึ่งบริษัทฯเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จะสร้างมาร์จิ้นให้กับบริษัทฯเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทันสมัย และตอบโจทย์ ด้านความปลอดภัย และความต้องการของลูกค้า ในกลุ่มลูกค้าด้านโรงงานอุตสหากรรมและอาคารสูง ตลอดจนรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่กำลังขยายตัวได้เป็นอย่างดี
“ การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้ เป็นการดำเนินธุรกิจตามแผนการขยายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อมาจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อเป็นการรองรับตลาดในกลุ่มลูกค้าโครงการอาคารสูง โรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนงานโครงสร้างพื้นฐาน เช่นรถไฟฟ้าใต้ดิน สนามบิน ที่กำลังจะเกิดขึ้นหลายโครงการ โดยมีความชัดเจนในการดำเนินงานมากขึ้น หลังจากที่บริษัทฯได้เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการในส่วนของระบบคอมพิวเตอร์ และการเพิ่มจำนวนพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมากขึ้น ” นายวิรัฐ กล่าว
กรรมการผู้จัดการ บมจ. ไฟร์วิคเตอร์ กล่าวเพิ่มถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี2558 ว่า บริษัทฯคาดการณ์อัตราการเติบโตของธุรกิจในปี 2558 ว่ามีแนวโน้มการขยายตัว เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบจากปีนี้ ที่คาดว่ามีการเติบโต 10% เทียบจากปี 2556 ที่มีรายได้ 519 ล้านบาท และ มีกำไร 61 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตดังกล่าว มาจากการปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยหันมาเจาะกลุ่มลูกค้าในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม และกำลังจะขยายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ส่วนงานติดตั้งระบบดับเพลิงในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งใหม่ และโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปรับปรุงใหม่นั้น จะสร้างมาร์จิ้นในระดับที่สูงกว่าการจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์ดับเพลิงให้กับกลุ่มผู้ประกอบการอาคารสำนักงาน หรืออาคารสูง ประเภทคอนโดมิเนียม ประมาณ 4-5% จากระดับมาร์จิ้น ปกติที่ประมาณ 11-12%
“ บริษัทฯจึงมั่นใจว่า ปี2558 รายได้จากการการขายเติบโตได้เท่าตัวในบางตลาด เช่น ตลาดโรงงานอุตสาหกรรมและงานบริการ เมื่อเทียบจากปีนี้ แม้ว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ จะมีการเติบโตไม่มาก แต่บริษัทฯได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยเน้นในกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรม และปิโตรเคมี ตลอดจนงานบริการมากขึ้น ประกอบกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์อื่นๆ เข้ามาเป็นช่องทางใหม่ ให้กับผู้บริโภค ” นายวิรัฐ กล่าว