บล.เอเชีย เวลท์ มองอนาคตธุรกิจโบรกเกอร์มุ่งสู่ความเป็น Wealth Management บริหารสินทรัพย์ลูกค้าแบบครบวงจร พร้อมชูมาร์เก็ตแชร์ 3.12% ครองอันดับ 14 ในอุตสาหกรรม

พุธ ๐๓ ธันวาคม ๒๐๑๔ ๑๕:๒๗
บล.เอเชีย เวลท์ มองอนาคตโบรกเกอร์ไทยเป็น Wealth Management ที่มากกว่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ พร้อมโชว์มาร์เก็ตแชร์ 3.12% ครองอันดับ 14 หลังเปิดธุรกิจมา 1 ปี เชื่อมั่นปีหน้ามูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์สูงกว่าปีนี้จากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น พร้อมแนะหุ้นเด่นปี 58

ดร.พิชิต อัคราทิตย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวในงานสัมมนา Asia Wealth Forum 2015 Investment Outlook ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ ว่า ปัจจุบันธุรกิจหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ในไทยมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ดูจากจำนวนโบรกเกอร์ในตลาดเกือบ 40 บริษัท ในต่างประเทศมองธุรกิจโบรกเกอร์เป็น Sunset industry เนื่องจาก ความก้าวหน้าของ Information Technology ทำให้นักลงทุนพึ่งพาโบรกเกอร์แบบเดิมน้อยลงและทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์ต้องมีการปรับตัว โดยเรามองอนาคตธุรกิจโบรกเกอร์ของไทยจะพัฒนาในทิศทางคล้ายกับต่างประเทศ ในลักษณะ Wealth Management คือ เน้นการบริหารสินทรัพย์ทุกประเภท ทั้งหุ้น กองทุนรวม หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ประกันชีวิต ที่ดิน ตลอดทั้งมรดก และสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อความมั่งคั่งของลูกค้า มากกว่าการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้า โดยมุ่งมั่นบริหารสินทรัพย์ลูกค้าให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นขณะที่ต้นทุนเท่าเดิม ซึ่งสำหรับ บล.เอเชีย เวลท์ เรามอง Business model ในอนาคตแบบนี้

“ด้านผลการดำเนินงานของ บล.เอเชีย เวลท์ ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมา 1 ปี บริษัทฯ มีมาร์เก็ตแชร์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน อยู่ที่ 3.12%* สูงกว่าที่บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ ที่ 2.5% เมื่อครั้งเปิดตัวธุรกิจหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 2556 ด้าน Ranking ปัจจุบัน บล.เอเชีย เวลท์ มีมาร์เก็ตแชร์ อยู่ที่อันดับ 14* จากเกือบ 40 โบรกเกอร์ และมีจำนวนบัญชีลูกค้าหลักทรัพย์ และ TFEX อยู่ที่ประมาณ 4,000 บัญชี เป็นบัญชีที่ Active ประมาณ 2,000 บัญชี คิดเป็น 50% ของจำนวนบัญชีทั้งหมด ทั้งนี้ คาดว่า ในเวลาที่เหลือ 1 เดือน บริษัทฯ จะสามารถคงมาร์เก็ตแชร์สิ้นปี 57 ในระดับนี้ได้

สำหรับธุรกิจ Wealth management ปัจจุบัน บริษัทฯ มีบัญชีลูกค้า Wealth ประมาณ 300 บัญชี มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการนับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) รวมทั้งในส่วนที่เป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล และยอดการขายหุ้นกู้และตั๋วแลกเงิน อยู่ที่ประมาณ 4,500 ล้านบาท โดยปัจจุบัน บล.เอเชีย เวลท์ เป็นตัวแทนขายกองทุนรวมของ 15 บลจ. ครอบคลุมกองทุนทุกประเภท ทั้งกองทุนรวมตราสารหนี้, หุ้น, LTF/RMF, กองทุนต่างประเทศ (FIF), สินค้าโภคภัณฑ์ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ตลอดทั้งมีการให้บริการกองทุนส่วนบุคคล (Private fund) ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นรายบุคคล โดยมุ่งที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าในระยะยาว” ดร.พิชิต กล่าว

ดร.พิชิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์ปีนี้ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นตุลาคม มีมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวัน อยู่ที่ 42,874 ล้านบาท** เทียบกับมกราคม-ตุลาคมปี 2556 ที่ระดับ 53,788 ล้านบาท** ลดลง 20% โดยมองว่าในปีหน้า 2558 มูลค่าการซื้อขายน่าจะดีขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แนวโน้มการส่งออกที่ฟื้นตัวจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การเพิ่มปริมาณ QE ในยุโรป และญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องเพื่อชดเชย QE สหรัฐฯ ที่ลดลง ประกอบกับเม็ดเงินลงทุนจากโครงการลงทุนภาครัฐ 4.5 แสนล้านบาท ที่จะใช้ในปีหน้า จะช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน และผลักดันให้กำไรบริษัทจดทะเบียนให้เติบโต ซึ่งหากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคตจะผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตได้ดีในปีหน้า

ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นปีนี้ คาดว่า ดัชนีจะไปปิดที่ระดับ 1,600 จุด จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเริ่มเห็นผล ประกอบกับผลประกอบการครึ่งปีหลัง น่าจะดีขึ้นกว่าในครึ่งปีแรกที่ +2.9% YOY

สำหรับปี 2558 บล.เอเชีย เวลท์ ยังคาดการณ์ว่าดัชนีจะไปปิดที่ระดับ 1,850 จุด โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ระดับ 5.1% และกำไรบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตที่ระดับ 15.3% และเนื่องจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบสถาบันการเงินมีปริมาณมหาศาล ดังนั้น ในปีหน้าจะยังคงมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไทยสลับกับการขายทำกำไร และกลับไปถือดอลลาร์สหรัฐ เป็นบางครั้ง

ด้านหุ้น แนะนำให้ Overweight ในหุ้นกลุ่มสื่อสาร เนื่องจาก การเลื่อนประมูล 4G ไป 1 ปี กลับทำให้กำไรกลุ่มสื่อสารดีขึ้น และการที่ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้ระบบ 3G มากขึ้นทำให้รายได้เพิ่มขึ้น โดยแนะนำหุ้น INTUCH, THCOM, ADVANC และ SIM และ Overweight หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ได้แก่ หุ้นกลุ่มรับเหมา แนะนำ STPI และ PYLON ตลอดจน หุ้นกลุ่มขนส่ง แนะนำ AOT หุ้นกลุ่มธนาคาร ที่ Valuation ไม่แพง แนะนำ KBANK, BBL, KTB และ TMB นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ Overweight หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภค ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงิน แนะนำ KTC หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และ หุ้นกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง แนะนำ MC

*ที่มา: SET Smart ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2557

**ที่มา : ตลาดหลักทรัพย์ ณ 31 ตุลาคม 2557

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ