“คิดว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปเป็นหลักวิชาการ และหลักข้อเท็จจริงว่า ต้องปฏิรูปสื่อจากระบบสัมปทานมาเป็นระบบใบอนุญาตในระบบการแข่งขัน ซึ่งเราอยากให้รายเดิมกับรายใหม่มาแข่งขันบนสนามเดียวกัน ซึ่งเป็นเจตจำนงของการออกกฎกติกา Must Carry และกติกาการออกคู่ขนาน ซึ่งสุดท้ายก็จบลงได้ด้วยข้อเสนอแนะของศาลปกครอง แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้ก็ไม่ควรฟ้องร้องตั้งแต่แรก” นางสาวสุภิญญา กล่าว
นางสาวสุภิญญากล่าวเพิ่มเติมถึง กรณีที่มีการนำพ.ร.บ.คอมพ์ฯ มาเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้อง ทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้ยังมีปัญหาอยู่ ตั้งแต่ตัวบทและวิธีการใช้ แต่กลับนำมาเป็นเครื่องมือที่จะสกัดกั้นการแสดงความคิดเห็น ขนาดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเองยังเสี่ยงที่จะถูกฟ้อง แล้วประชาชนทั่วไปจะมีอะไรมาเป็นเกราะป้องกัน เพราะฉะนั้น ฝากถึงบุคคลสาธารณะไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง บริษัท หรือผู้มีอำนาจ ควรที่จะยับยั้งชั่งใจในการใช้พ.ร.บ. คอมพ์ฯ ฟ้องร้อง เพราะยุคนี้เป็นยุคดิจิตอลที่ควรจะต้องให้มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างมีวุฒิภาวะมากกว่า เพราะหากมีการใช้วิธีการฟ้องร้องจากการรีทวีตแล้ว อาจก่อให้เกิดความประหลาดใจในสายตาต่างชาติแน่นอน ขอเสนอต่อบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ควรให้มีกระบวนการแก้ พรบ.คอมพ์ ให้มีความชัดเจนและรัดกุมมากกว่านี้ เช่นกัน...
นายนคร ชมพูชาติ ทนายความและที่ปรึกษานางสาวสุภิญญากล่าวว่า การทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำหรือความคิดเห็นที่อาจไม่ถูกต้อง หากมีความคิดเห็นต่าง ก็ควรเปิดใจฟังและทำความเข้าใจต่อสาธารณชน เพื่อแสวงหาข้อสรุปที่ดีที่สุดกับทุกฝ่ายโดยยึดถือผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ แต่บางครั้งก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น การฟ้องร้องจึงเกิดขึ้นได้ จึงต้องทำหน้าที่ของตนเองไปในการยืนหยัดความถูกต้องต่อศาลในทุกคดีที่เกิดขึ้นกับนางสาวสุภิญญา