นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) (KCM) ผู้ผลิตและจำหน่ายหลังคาเหล็กเมททอลชีท ภายใต้แบรนด์ “รถถัง” เจ้าตลาดในวงการหลังคาเหล็กและวัสดุก่อสร้างงานหลังคาและผนังเหล็กในภาคอีสานและภาคเหนือ เปิดเผยว่า ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.25 บาท ในราคาหุ้นละ 1.30 บาท ซึ่งถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน โดยจะเปิดจองซื้อหุ้นไอพีโอระหว่างวันที่ 15-17 ธันวาคม 2557 และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์คือ “KCM”
ทั้งนี้ KCM ได้แต่งตั้งให้บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ,บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ,บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการหน่าย
“การกำหนดราคาขายไอพีโอที่ 1.30 บาท/หุ้น ถือว่ามีความเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท ผมมั่นใจว่า KCM จะเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนส่งท้ายสิ้นปีนี้ ก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่”นายสมภพกล่าวในที่สุด
นายนิมิต วงศ์จริยกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ในฐานะแกนนำผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า มั่นใจว่าหุ้น KCM จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เพราะในระหว่างการโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุน 10 จังหวัดทั่วประเทศ และการโรดโชว์ตามห้องค้า นักลงทุนต่างมั่นใจปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่งและสนใจเข้าลงทุนเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าหลังเข้าเทรด KCM จะเป็นหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจให้กับนักลงทุน
นายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) (KMC) กล่าวว่า เตรียมนำเงินที่ได้ไปใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อขยาย 3 สาขา คือ ภูเก็ต แพร่ และลำปาง โดยลงทุนก่อสร้างตกแต่งและเครื่องจักร บนที่ดินที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว และในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) เตรียมใช้เป็นเงินลงทุนเพื่อขยายสำนักงานขายขนาดเล็ก 92 แห่ง ในพื้นที่ภาคกลางตอนบนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังเตรียมนำเงินที่ได้ใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจอาคารสำเร็จรูปให้เช่าจำนวน 4 แห่ง ในพื้นที่สาขา 3 จังหวัด ประกอบด้วยจังหวัดขอนแก่น 2 แห่ง จังหวัดอุดรธานี และจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดละ 1 แห่ง อีกทั้ง ใช้เป็นเงินลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตแปเหล็กกล้ากำลังสูงจำนวน 4 เครื่อง และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
สำหรับผลการดำเนินงานย้อนหลังของบริษัท (2554-2556) มีรายได้จากการขายและบริการเพิ่มขึ้นจาก 718.15 ล้านบาท เป็น 806.78 ล้านบาท และ 821.86 ล้านบาทตามลำดับ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องทุกปีมาโดยตลอด (2554-2556) บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 58.18 ล้านบาท 46.91 ล้านบาท และ 42.07 ล้านบาทตามลำดับ และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2557 มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 401.53 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 10.77 ล้านบาท
ทั้งนี้ KCM มีสาขาอยู่ 22 แห่ง กระจายในภาคอีสานและภาคเหนือ ได้แก่ ขอนแก่น ชัยภูมิ อุดรธานี สกลนคร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระบุรี พิษณุโลก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ ฯลฯ ซึ่งในจังหวัดขอนแก่นก็มีถึง 4 สาขาแล้ว ล่าสุดได้ซื้อที่ดินเพิ่มเพื่อจะทำการเปิดโรงงานแห่งใหม่ มีที่ภูเก็ต ลำปาง แพร่ และเชียงใหม่ โดยที่เชียงใหม่อยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างและดำเนินการคาดว่าน่าจะเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้
ปัจจุบัน KCM มีทุนจดทะเบียน 170.00 ล้านบาท มีทุนชำระแล้วเต็มมูลค่าเท่ากับ 120.00 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 480.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท สำหรับทุนจดทะเบียนส่วนที่เหลือจำนวน 50.00 ล้านบาท บริษัทออกไว้เพื่อรองรับการเสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 200.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท