บริษัทดุสิตธานีเป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งดำเนินงานและให้บริการบริหารโรงแรมภายใต้ชื่อดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนซ์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และในปี 2513 ได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ “ดุสิตธานี” ในกรุงเทพฯ เป็นแห่งแรก ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง ซึ่งรวมโรงแรม 3 แห่งของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีด้วย การมีประวัติที่ยาวนานได้สร้างชื่อเสียงที่มั่นคงและทำให้บริษัทสามารถขยายสู่ธุรกิจการให้บริการการบริหารจัดการ ณ เดือนธันวาคม 2557 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานจำนวน 5,854 ห้อง โดยในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นโรงแรมที่บริษัทให้บริการบริหารจัดการและเป็นโรงแรมภายใต้ระบบแฟรนไชส์ของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศฟิลิปปินส์ มัลดีฟส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ จีน สหรัฐอเมริกา เคนยา และอินเดีย นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย ธุรกิจการศึกษาของบริษัทในช่วงแรกประกอบด้วย เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรม ต่อมาในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2557 บริษัทได้รวมเอาผลประกอบการของวิทยาลัยดุสิตธานีเข้ามาในงบการเงินรวมของบริษัทด้วย ทำให้รายได้จากธุรกิจการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 11% ของรายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับ 4% ที่มาจากเลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรม
ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ตามมาด้วยการทำรัฐประหาร และการประกาศกฎอัยการศึกที่ยังคงดำเนินอยู่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมหลักของบริษัท ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวมากที่สุด โรงแรมของบริษัทที่พัทยาและหัวหินก็ได้รับผลกระทบ แต่อยู่ในระดับที่น้อยกว่าโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ในขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมอื่นๆ ของบริษัทดีขึ้น ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ลดลงเป็น 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 70% อย่างไรก็ตาม อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนเพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 3,712 บาท อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุหลักมาจากอัตราที่สูงของโรงแรมดุสิตธานีมัลดีฟส์ซึ่งยังส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนของกลุ่มดุสิตธานีปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม ค่าห้องพักต่อคืนของโรงแรมของบริษัทยังมีอัตราที่ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง การแข่งขันที่รุนแรง และการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องของจำนวนห้องพักใหม่ ๆ และภาพลักษณ์ของโรงแรมของบริษัทที่ไม่ทันสมัยเป็นปัจจัยจำกัดความสามารถในการตั้งราคาห้องพักของบริษัท
รายได้ของบริษัทเติบโตขึ้น 10% ในปี 2556 ในขณะที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 บริษัทบันทึกรายได้ 3,485 ล้านบาท ลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ของโรงแรมดุสิตธานี มัลดีฟส์ ที่เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของโรงแรมในประเทศ ความสามารถในการทำกำไรยังคงเป็นประเด็นท้าทายของบริษัท ทั้งนี้ กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดยอัตรากำไรของบริษัทอยู่ที่ 12.5% ในปี 2556 และ 8.9% สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของคู่แข่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อัตรากำไรของบริษัทถูกกดดันจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งจากการที่บริษัทประกันรายได้ค่าเช่าให้แก่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานี และจากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเตรียมบุคคลากรเพื่อรองรับการขยายธุรกิจบริหารโรงแรม แม้จะมีผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลง แต่สภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในระดับดี ซึ่งเป็นผลจากนโยบายการเงินที่ระมัดระวังของบริษัท โดยอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมอยู่ที่ 26.29% (ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปี โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.95 เท่าสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 31.8% ณ เดือนกันยายน 2557
ในอนาคต บริษัทยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม บริษัทมีแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการ ทั้งนี้ บริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการบริหารกิจการโรงแรมและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ หลายรายทั้งในประเทศจีน อินเดีย ออสเตรเลีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจการศึกษาทั้งในและต่างประเทศด้วย หากแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ รายได้จากธุรกิจบริหารกิจการโรงแรมและการศึกษาจะช่วยให้อัตราผลกำไรโดยรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นด้วย
ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นตามสภาวะตลาดที่ฟื้นตัว โดยคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 770-900 ล้านบาทต่อปีในระยะ 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเพียงพอต่อการชำระหนี้และรองรับการลงทุนของบริษัท บริษัทมีแผนจะลงทุนรวมราวๆ 1,700 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยหลัก ๆ จะเป็นการปรับปรุงคุณภาพของโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา และการขยายธุรกิจการศึกษาของบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสที่จะขยายธุรกิจโรงแรมและการศึกษาในต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ หากบริษัทมีการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าจะเป็นในรูปแบบของการมีผู้ร่วมทุน ดังนั้นระดับหนี้สินต่อทุนของบริษัทจะไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (DTC)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable