ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่” ที่ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable”

พุธ ๒๔ ธันวาคม ๒๐๑๔ ๑๖:๓๐
ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของบริษัทอันเนื่องมาจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความสามารถในการผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย รวมทั้งผลงานที่ผ่านมาในฐานะผู้รับจ้างผลิต

หม้อแปลงชนิดพิเศษที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงกลยุทธ์ของผู้บริหารของบริษัทในการใช้เครื่องจักรในการผลิต อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายของประเทศ รวมทั้งความเสี่ยงจากการมีลูกค้าที่กระจุกตัว และราคาวัตถุดิบที่ผันผวน ทั้งนี้ อุปสงค์ที่อ่อนตัวจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าขั้นปลายกลุ่มสำคัญในตลาดส่งออกของบริษัทนับว่าเป็นปัจจัยกังวลสำหรับอันดับเครดิตด้วยเช่นกัน ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถปรับเพิ่มอัตรากำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้แม้ในภาวะที่มีการแข่งขันรุนแรงหรือมีเหตุการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ทั้งนี้ หากระดับหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในทางลบต่อฐานะทางการเงินและอันดับเครดิตของบริษัทได้

บริษัทคิวทีซี เอนเนอร์ยี่ก่อตั้งในปี 2539 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Market for Alternative Investment –MAI) ในเดือนกรกฎาคม 2554 โดย ณ เดือนกันยายน 2557 นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และครอบครัว มีฐานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วนรวมกัน 63% บริษัทเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางซึ่งผลิตหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ภายใต้ตราสัญลักษณ์สินค้าของตนเองคือ “QTC”

โรงงานของบริษัทตั้งอยู่ที่อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องโดยเพิ่มการใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าซึ่งช่วยลดเวลาในการผลิต รวมทั้งลดการพึ่งพาแรงงานที่มีทักษะ และลดต้นทุน ทำให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น ผลิตภัณฑ์หม้อแปลงไฟฟ้าของบริษัทผ่านการทดสอบการทนต่อการลัดวงจรจากสถาบัน CESI ประเทศอิตาลี และสถาบัน KEMA ประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานสากลที่หลากหลาย อาทิ มาตรฐาน ISO 9001, มาตรฐาน ISO 14001, มาตรฐาน OHSAS 18001 และมาตรฐาน ISO/IEC 17025 ผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทคือหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย ทั้งนี้ ความสามารถในการผลิตของบริษัทครอบคลุมหม้อแปลงไฟฟ้าที่ขนาดกำลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1-30,000 กิโลโวลต์แอมแปร์ (KVA) ที่แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 72 กิโลโวลต์ (kv)

รายได้ของบริษัทในปี 2556 มาจากยอดขายหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย 95% ของรายได้รวม จากหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง 1% และมาจากงานบริการ 2% ในปี 2556 ฐานลูกค้าของบริษัทประกอบด้วยกลุ่มรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าคิดเป็น 34% ของรายได้รวม บริษัทเอกชน 43% และลูกค้าภาคการส่งออก 20% บริษัทมีความสัมพันธ์อันดีมายาวนานกับตัวแทนส่งออกรายหนึ่งในประเทศออสเตรเลียซึ่งเป็นตลาดรับจ้างผลิตของบริษัท ส่งผลให้บริษัทได้รับคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องและได้รับการยอมรับในกลุ่มลูกค้าเหมืองแร่และกลุ่มลูกค้าธุรกิจน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัทมีความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของลูกค้าเนื่องจากรายได้ประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทพึ่งพิงลูกค้าหลักเพียง 3 ราย คือ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าภูมิภาค (กฟภ.) และตัวแทนส่งออกในประเทศออสเตรเลีย 1 ราย

อุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่ายของประเทศไทยมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ปัจจุบันมีผู้ผลิตในประเทศประมาณ 25 ราย อย่างไรก็ตาม ครึ่งหนึ่งของผู้ผลิตทั้งหมดเป็นผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งไม่สามารถผลิตงานที่มีคุณภาพสูง ทำให้ไม่สามารถประมูลงานกับรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ได้ สำหรับตลาดหม้อแปลงไฟฟ้าภายในประเทศมีกลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจคือ กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ใช้รายใหญ่เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศ นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าเอกชนซึ่งได้แก่ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรม อาคารขนาดใหญ่ และโครงการสาธารณูปโภค ก็ล้วนเป็นกลุ่มที่มีความต้องการหม้อแปลงชนิดพิเศษที่มีลักษณะเฉพาะและมีคุณภาพสูงไว้วางใจได้ทั้งสิ้น

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศ โดยการประท้วงที่เริ่มในช่วงปลายเดือนตุลาคม 2556 ส่งผลกระทบให้งานประมูลของภาครัฐวิสาหกิจและโครงการลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว นอกจากนี้ รายได้จากตลาดส่งออกของบริษัทก็ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุปสงค์ในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ของประเทศออสเตรเลียด้วย ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2556 อยู่ที่ 804 ล้านบาท ลดลง 16% เมื่อเทียบกับปี 2555 รายได้ของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 383 ล้านบาท ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2556 ทั้งนี้ กฟภ. ยังคงไม่เปิดประมูลงานมาตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 จนถึงปัจจุบัน ทำให้รายได้จากการขายหม้อแปลงไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจลดลงอย่างมาก โดยอยู่ที่ระดับเพียง 22 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เทียบกับ 149 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 เนื่องจากบริษัทมีคำสั่งซื้อที่มีกำหนดส่งมอบภายในปี 2557 ประมาณ 360 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2557 ลดลงเพียงประมาณ 5% เมื่อเทียบกับปี 2556

อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อยอดขายของบริษัทอ่อนตัวลงจาก 18.8% ในปี 2555 เป็น 16.6% ในปี 2556 และลดลงเป็น -2.6% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 อัตราส่วนกำไรที่ลดลงมากมีสาเหตุมาจากการลดลงในสัดส่วนรายได้ของกลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในงานภาคเอกชน นอกจากนี้ รายได้จากการจำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้ารัฐวิสาหกิจก็มีอัตรากำไรที่สูงกว่ากลุ่มอื่นเนื่องจากเป็นหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไม่ซับซ้อนและมีปริมาณสั่งซื้อจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 10% ณ สิ้นปี 2557 เนื่องจากบริษัทมีงานที่รอส่งมอบจำนวนมากซึ่งรวมถึงงานของ กฟน. บางส่วนซึ่งบริษัทประมูลได้ในเดือนตุลาคม 2557

สภาพคล่องของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดีในช่วงปี 2551-2556 บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ในระดับมากกว่า 75% และ อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเกินกว่า 15% อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ระดับ 28.1% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง)

ภาระหนี้ของบริษัทส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้นสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนไม่เกิน 30% ในช่วงปี 2551-2556 แต่เพิ่มขึ้นเป็น 32.4% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 เนื่องจากมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการผลิตและรอการส่งมอบจำนวนมาก หนี้สินรวมของบริษัทคาดว่าจะลดลงในช่วงปลายปีเมื่อมีการผลิตและส่งมอบสินค้าให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนักจากการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน แต่เนื่องจากบริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงาน ดังนั้น หากการขยายธุรกิจต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก บริษัทควรพิจารณาการกู้ยืมแบบสินเชื่อโครงการซึ่งอาจใช้สินทรัพย์เป็นหลักประกัน (Ring-fence Financing) หรือการเพิ่มทุนบางส่วนเพื่อรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้เหมาะสม

บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (QTC)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version