สำหรับอีก 2 สำนวน เป็นกรณีกล่าวหานายมนตรี เจนวิทย์การ ในฐานะเลขาธิการ ปรส. กับพวก ว่าดำเนินการจำหน่ายสินทรัพย์ให้กองทุนรวมแกมม่าแคปปิตอล และจำหน่ายสินทรัพย์ให้บริษัท เงินทุน เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ซื้อเป็นเหตุให้รัฐได้รับความเสียหาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายมนตรี เจนวิทย์การ ดังกล่าว มีมูลความผิดทางวินัยฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตามข้อบังคับขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินว่าด้วย การพนักงาน พ.ศ. 2540 และมีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 11 ส่วนผู้ถูกกล่าวหารายอื่นๆ เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูล จึงมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด พิจารณาฟ้องคดี นายมนตรี เจนวิทย์การ ต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2556 และอัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องคดี ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ทั้งสองคดีแล้ว ซึ่งเดิมได้แถลงว่าฟ้องคดี เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แต่ได้รับแจ้งจากพนักงานอัยการในภายหลังว่า ผู้ถูกกล่าวหาขอเลื่อนนัด และได้ฟ้องคดีทั้งสองคดีแล้ว เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่าง การพิจารณาคดีของศาล
ปัจจุบันจึงไม่มีคดีกรณีกล่าวหาคณะกรรมการ ปรส. หรือผู้บริหาร ปรส. ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. อีกแต่อย่างใด ดังนั้นที่กล่าวว่าคดี ปรส. จะขาดอายุความอยู่ที่ ป.ป.ช. จึงไม่มีมูลความจริง