ในปี 2522 ครอบครัวแก้วบุตตาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในปัจจุบันของบริษัทศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1979 ได้เริ่มธุรกิจให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันโดยใช้รถยนต์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต่อมาในปี 2550 ครอบครัวแก้วบุตตาได้ขายธุรกิจทั้งหมดซึ่งขณะนั้นบริหารจัดการภายใต้บริษัท ศรีสวัสดิ์ อินเตอร์เนชั่นแนล 1991 จำกัด ให้แก่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ในขณะที่บริษัทยังคงสินเชื่อคงค้างเอาไว้ ในปี 2552 ครอบครัวแก้วบุตตาได้กลับมาเริ่มขยายสินเชื่ออีกครั้งภายใต้บริษัทจัดตั้งขึ้นใหม่ที่ซื้อกิจการมา คือ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท พาวเวอร์ 99 จำกัด) ในปี 2554 สินเชื่อทั้งหมดของบริษัทศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ ถูกโอนมายังบริษัทศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1979 ซึ่งเป็นบริษัทที่ครอบครัวแก้วบุตตาก่อตั้งขึ้นในปี 2551 นับตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ธุรกิจหลักของบริษัทก็เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยบริษัทให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีหลักประกันเป็นสินทรัพย์ต่าง ๆ ได้แก่ รถจักรยานยนต์ รถยนต์ ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทได้ขยายธุรกิจผ่านการเพิ่มจำนวนสาขาอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ ในปี 2557 บริษัทได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนครั้งแรกทำให้ทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 250 ล้านบาทเป็น 1,000 ล้านบาท โดยบริษัทใช้เงินจากการเพิ่มทุนเพื่อการชำระหนี้และการขยายสินเชื่อ
ปัจจุบันผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทคือครอบครัวแก้วบุตตาซึ่งถือหุ้นประมาณ 56% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด บริษัทยังมีบริษัทย่อยอีก 2 แห่งซึ่งประกอบด้วย บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด ซึ่งให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ ศรีสวัสดิ์ จำกัด ซึ่งให้บริการจัดเก็บหนี้และดำเนินธุรกิจซื้อหนี้เสียมาบริหาร ในขณะที่บริษัทซึ่งเป็นบริษัทแม่ ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคลแบบมีหลักประกันโดยมียานพาหนะทุกชนิดเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ได้แก่ รถจักรยานยนต์ใช้แล้ว รถยนต์ รถบรรทุก ฯลฯ) หรือที่ดินและอสังหาริมทรัพย์
หนึ่งในกลยุทธ์หลักของบริษัทคือการขยายเครือข่ายสาขาในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 จำนวนสาขาของบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่า เป็น 814 สาขา จาก 258 สาขาในปี 2554 ส่งผลให้สินเชื่อของบริษัทเติบโตขึ้นจาก 2,829 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 5,722 ล้านบาทในปี 2556 ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 42% สินเชื่อคงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 7,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24% จากสิ้นปี 2556 ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 สินเชื่อคงค้างของบริษัทประกอบด้วยสินเชื่อที่มีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะเป็นหลักประกัน 56.6% สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นหลักประกัน 16.3% สินเชื่อที่มีรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์เป็นหลักประกัน 11.9% สินเชื่อที่มีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกัน 9.6% สินเชื่อที่มีรถจักรยานยนต์ใหม่เป็นหลักประกัน 3% สินเชื่อที่มีที่ดินเป็นหลักประกัน 1.2% และสินเชื่อที่มียานพาหนะอื่น ๆ เป็นหลักประกัน 1.2% ทั้งนี้ สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันคิดเป็น 0.3% ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด
อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (สินเชื่อค้างชำระมากกว่า 90 วัน) ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยอัตราส่วนลดลงจากระดับสูงสุดที่ 10.6% ณ สิ้นปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่ มาอยู่ที่ระดับ 5.4% ณ สิ้นปี 2555 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 5.5% และ 6.4% ณ สิ้นปี 2556 และสิ้นเดือนกันยายน 2557 ตามลำดับจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองและสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทใช้เกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อบนพื้นฐานความระมัดระวังและมีอัตราส่วนการปล่อยสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกันที่ระดับต่ำ ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ระดับประมาณ 60%
ผลประกอบการของบริษัทเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 26 ล้านบาทในปี 2554 เป็น 405 ล้านบาทในปี 2555 และเติบโตอีก 42% มาอยู่ที่ระดับ 575 ล้านบาทในปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 1.6% ในปี 2554 เป็น 10.8% ในปี 2555 และ 10.9% ในปี 2556 รายได้สุทธิในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2557 เท่ากับ 588 ล้านบาท และอัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยเท่ากับ 8.6% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี)
การเสนอขายหุ้นแก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 2557 ทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 18.7% ณ สิ้นปี 2556 เป็น 40% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2557 และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 41.5% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557 นอกจากนี้ การที่บริษัทแสดงผลกำไรอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมายังทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นับว่าฐานทุนของบริษัทในขณะนี้อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเพียงพอสำหรับรองรับการขยายสินเชื่อในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับต่ำกว่า 1.5 เท่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2557
บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีระดับความเสี่ยงสูงและค่อนข้างอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางลบของภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้น นโยบายการอนุมัติเครดิตอันเข้มงวดของบริษัท ตลอดจนกระบวนการจัดเก็บหนี้ที่เพียงพอ และฐานทุนที่แข็งแกร่งจะช่วยจำกัดและดูดซับความเสี่ยงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้บริษัทต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ความสามารถในการบริหารจัดการฐานสินเชื่อขนาดใหญ่ ตลอดจนสร้างผลประกอบการที่น่าประทับใจ และดำรงคุณภาพสินเชื่อให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้
บริษัท ศรีสวัสดิ์พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) (SAWAD)
อันดับเครดิตองค์กร: BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable