ดร.กฤษติกา คงสมพงษ์ อาจารย์ประจำสาขาการตลาด สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Sasin) เปิดเผยว่า การแข่งขันของโลกธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญ ให้นักการตลาดต้องวางแผนกลยุทธ์การทำงานล่วงหน้า เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตลาด โดยเฉพาะหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจกลุ่มประเทศในภูมิภาคนี้มากขึ้น คาดการณ์ว่าแบรนด์ดังระดับโลกจะเบนเข็มมุ่งสู่ตลาดเอเชีย และเป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจส่งผลให้เอเชียมีความมั่นคงมากกว่าชาติอื่น ๆ ดังนั้น นักการตลาดต้องศึกษาเทรนด์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค การแข่งขันตลาดจะรุนแรงขึ้น ที่สำคัญวิถีชีวิตของผู้บริโภคได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่หลากหลาย ทำให้การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิมๆ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ความสำคัญกับการค้นหาผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ การนำเสนอขายในอนาคตต้องสอดแทรกความพิเศษเฉพาะบุคคลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เช่น ภายใน 5 ปีจากนี้ไป จำนวนประชากรที่มีอายุเกิน 60 ปีจะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกจะมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น การนำเสนอขายสินค้าและบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ ต้องคำนึงเรื่องการเดินทาง ความสะดวก รวมถึงสถานบริการที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงและอยู่ใกล้ที่พักอาศัย จะเป็นทางเลือกสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเน้นออกแบบสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคตอีกด้วย ทั้งนี้จำนวนประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเพราะ การแพทย์ดีขึ้น แต่ละครอบครัวจะมีบุตรน้อยลง ในขณะเดียวกันจำนวนประชากรที่ครองโสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกด้วย ดังนั้น ธุรกิจและบริการสำหรับเด็กจะต้องปรับรูปแบบ เช่น สินค้าสำหรับเด็กและโรงเรียนอนุบาลอาจต้องแตกไลน์บริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดในอนาคต
ดร.กฤษติกา ให้ความเห็นถึงเรื่องแนวโน้มการตลาดในอนาคตว่า แบรนด์ดังจากทั่วโลกมุ่งหน้าสู่ตลาดในเอเชียทำให้เกิดคู่แข่งรายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน สินค้าและบริการแต่ละแบรนด์จำเป็นต้องศึกษาเทรนด์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม เช่น ต้องทราบว่าผู้หญิงยังคงมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ และมีบทบาทต่อการทำงานของนักการตลาดมากกว่าในอดีต รวมทั้งคนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ลูกค้ากลุ่มผู้ชายจะเน้นการดูแลตัวเองให้ดูดีมากขึ้น เป็นโอกาสดีสำหรับสินค้าประเภทแฟชั่นและเครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย
“ขณะนี้นักการตลาดจำนวนไม่น้อยกำลังศึกษาเทรนด์การทำงานในปี 2015 ยังคงยืนยัน ว่าเทรนด์ Social Media คือช่องทางที่มาแรงมาก เนื่องจากอุปกรณ์การสื่อสารคือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้บริโภคในยุคหน้า เป็นไปได้ว่าในอนาคตไม่เกินปี 2020 อินเตอร์เน็ตจะกลายเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการขายสินค้าและบริการ จึงต้องจับตาเทรนด์อีคอมเมิร์ซอย่างใกล้ชิด จะเกิดการเชื่อมโยงระหว่างการตลาดแบบออฟไลน์และออนไลน์เข้าด้วยกัน มีความเป็นไปได้สูงที่ลูกค้าในอนาคตอยู่ในร้านหนึ่งจะเปิดดูสินค้าอีกร้านผ่านมือถือ เพื่อการตัดสินใจซื้อ การค้นหาสิ่งที่พึงพอใจจะเกิดขึ้น ทั้งเรื่องดีไซน์ ราคา และโปรโมชั่น แบรนด์ต่าง ๆ จะให้ความสำคัญกับการทำ Search marketing และ Keyword มากขึ้น” ดร.กฤษติกาให้ความเห็น