กรุงเทพฯ--24 มี.ค.--สถาบันครอบครัวรักลูก
จังหวัดพัทลุงเป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ โครงการครอบครัวเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวรักลูก ได้ลงไปจัดเวทีเรียนรู้ให้กับพ่อแม่ โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ซึ่งจากการจัดกิจกรรม เราได้พบเรื่องดี คนดี ของแต่ละชุมชนที่อยากจะแนะนำ
และจากคำบอกเล่าของแกนนำโครงการครอบครัวเข้มแข็ง อาจารย์ และผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า น้องสาวผู้น่ารักคนนี้ เธอเป็นเด็กดี ช่วยเหลือครอบครัวทำงานต่างๆในบ้าน เรามาติดตามกันดีกว่าว่า เด็กดีคนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาทำอะไร
น้องวาสนา ตั้นเสรีกุล หรือน้องกระต่าย เป็นลูกคนที่ 2 ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด 5 คน มีผู้ชาย 1 คน ผู้หญิง 4 คน ขณะนี้น้องกระต่ายเรียนอยู่ชั้น ป.5 อายุ 12 ปี
กระต่ายเล่าให้ฟังว่า เวลาที่อยู่บ้านกิจกรรมที่จะต้องทำทุกวันคืองานบ้านทั่วไป เริ่มตั้งแต่เช้าขึ้นมาก็เก็บที่นอน จากนั้นก็ต้องออกมารดน้ำผักที่แปลง ที่บ้านปลูกผักต่างๆ เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง นอกจากนั้นยังปลูกสมุนไพร เช่น ว่านหางจระเข้ การปลูกผักพ่อจะเป็นคนทำ ส่วนกระต่ายก็จะมาช่วยหว่านบ้าง รดน้ำ
วิธีการปลูกผักที่พ่อสอน เริ่มที่ถอนหญ้าที่ขึ้น จากนั้นก็พรวนดินให้ดินร่วนซุย และยกดินให้เป็นแปลง ให้ปุ๋ยคอกมาโรย รดน้ำ แล้วจึงหว่านเมล็ดพันธุ์พืช แล้วรดน้ำอีกครั้ง คลุมด้วยฟางข้าว ทุกวันเราจะต้องออกมารดน้ำในแปลงเช้า-เย็น จนงอกออกมาเป็นต้น คอยถอนหญ้าที่อยู่ในแปลงออกเพื่อไม่ให้ไปแย่งอาหารของผักเรา ระยะเวลาที่เราสามารถเก็บไปขายได้ประมาณ 20 วัน(ผักบุ้ง) ซึ่งจะต้องดูแลทุกวัน
ถึงเวลาที่จะต้องเก็บผัก ทั้งน้องกระต่ายและลูกๆ ก็จะไปช่วยพ่อกับแม่เก็บผัก ล้างผักเอาดินที่โคนต้นออก มัดเป็นกำ วันเสาร์-อาทิตย์ กระต่ายก็จะไปเดินขายกับแม่นำตามหมู่บ้าน ขายมัดละ 5 บาท รายได้ต่อครั้งประมาณ 100-150 บาท ต่อ 1 แปลง ส่วนพ่อหลังจากที่ดูแลแปลงผักแล้ว ก็จะไปรับเข้ากรอบพระที่ตลาดสดใน อ.เมือง
ที่สำคัญที่ทำให้ผักของน้องกระต่ายขายดี เป็นเพราะผักที่ปลูกจะเป็นผักปลอดสารพิษ ไม่ใช้ย่าฆ่าแมลงและสารเคมีใดๆ เลย จะใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยยูเรีย และปุ๋ยน้ำตาล กากน้ำตาลที่ใส่ในปุ๋ยชีวภาพพอเก็บผักหมดเราก็เริ่มพรวนดินยกร่อง โรยปุ๋ยคอก และโรยเมล็ดผักต่อไปอีกรุ่นหนึ่ง การปลูกผักจะสลับกัน เช่น วันนี้ปลูกผักบุ้ง 3 แปลง พอเสร็จ ก็จะปลูกกวางตุ้งอีก 3 แปลง เพราะระยะเวลาการเก็บของผักบุ้งกับกวางตุ้งจะไม่เท่ากัน ผักบุ้งจะโตเร็วกว่า
สำหรับหน้าที่หลักที่น้องกระต่ายจะต้องทำเป็นประจำนอกจากแปลงผักของพ่อแล้ว น้องกระต่ายบอกว่า “จะต้องดูแลน้องๆ ด้วย ดูแลแทนพ่อกับแม่เวลาที่ไม่อยู่บ้าน หรือเวลาที่พ่อกับแม่ลงแปลงผัก การดูแลตอนเช้าก็จะพาน้องคนเล็กไปอาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว หาข้าวให้กิน และพาเข้านอน และจะสอนน้องด้วย”
จากการเลี้ยงน้องคนเล็ก วัย 5 ขวบ สิ่งที่ได้คือ รู้นิสัยของน้อง และรู้จักธรรมชาติของเด็กวัยนี้ด้วย ธรรมชาติของเด็กวัยนี้ เป็นเด็กที่ซน เรียนรู้พฤติกรรมจากสิ่งต่างๆ รอบข้าง รวมทั้งทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย มีความอดทนมากขึ้น
นอกจากดูแลน้องแล้ว ยังต้องดูแลพ่อด้วย เพราะพ่อเป็นโรคหัวใจ การดูแลและระวังก็คือจะไม่พูดหือทำให้พ่อตกใจ และจะต้องระวังเรื่องอาหาร เวลาไปซื้อก็จะต้องสั่งอาหารที่ไม่เค็มจัด เพราะแม่บอกว่าพ่อกินอาหารรดเค็มไม่ได้ พ่ออายุ 53 ปี
และนี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กระต่ายและพี่ๆ น้องๆ ลงมาดูแลงานของพ่อกับแม่ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน การดูแลแปลงผัก ด้วยความที่เป็นเด็กดี เด็กกตัญญู รู้สึกสงสารพ่อ เนื่องจากพ่อมีสุขภาพไม่ดี เลยทำให้ทุกคนช่วยกันดูแลทุกอย่างร่วมกันทั้งครอบครัว
โตขึ้นกระต่ายบอกว่าอยากเป็นหมอ เพราะจะได้รักษาพ่อให้หายจากโรคหัวใจ
สิ่งที่ได้จากการช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ช่วยปลูกผัก ไปเดินขายผักกับแม่ กระต่ายบอกว่า “หนูได้รู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ได้ และยังรู้จักการปลูกผัก เพราะอนาคตเราอาจจะนำไปเป็นอาชีพของเราเองก็ได้”
สุดท้ายน้องกระต่ายฝากไว้ว่า “ถึงแม้ว่าจะยากดีมีจน หากเรารู้หน้าที่ รู้ว่าเราเป็นเด็ก เราจะต้องตั้งใจเรียน ไม่หนีเรียน ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ ช่วยเหลืองานบ้าน เท่านี้ครอบครัวของเราก็อบอุ่นได้
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ ฝ่ายประชาสัมพันธ์
โครงการครอบครัวเข้มแข็ง สถาบันครอบครัวรักลูก
โสภิดา ธนสุนทรกูร(แบม) โทรศัพท์ 0 2913 7555 ต่อ 4640 โทรสาร 0 2831 8499--จบ--