กว่าครึ่งชีวิตของลอนต้องเผชิญกับความหดหู่และฝันร้ายไปตลอดชีวิต เรื่องราวชีวิตของลอนถูกถ่ายทอดผ่านปลายปากกาของ จูเลีย แมนซานาเรา และเดเร็ก เคนต์ โดยหวังจะใช้เนื้อหาจากชีวิตจริงของลอนสร้างความตระหนักในหมู่ผู้ใหญ่ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติถึงชีวิตอันรันทดของเด็กๆ ที่ต้องเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ โดยหนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลไปหลายภาษาที่เป็นประเทศต้นทางของนักท่องเที่ยวทางเพศรวมถึงประเทศไทย
ในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจาก พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธานเปิดงาน ร่วมด้วย คุณสุวดี จงสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด รวมถึง 2 นักเขียน จูเลีย แมนซานาเรา และเดเร็ก เคนต์ มาร่วมพูดถึงแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือ และแขกรับเชิญพิเศษ “หญิง” น้องสาวแท้ๆ ของลอน นอกจากนี้ ยังเปิดเวทีเสวนา “แค่ 13 กรณีตัวอย่างเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว บนเส้นทางการค้าประเวณี” โดย มาเซอร์ฟรังซัวส ชีรานนท์ ประธานทาลิธาคุม ไทยแลนด์ และคุณศิริพร สะโครบาเน็ค ประธานมูลนิธิผู้หญิง จัดขึ้น ณ อาคารนานมีบุ๊คส์เฮาส์ (ซอยสุขุมวิท 31)
พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า “เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ได้หยิบยกนำเรื่องราวจากชีวิตจริงของตัวอย่างเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางการค้าประเวณีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อตีแผ่ สะท้อนให้สังคมได้ตระหนัก และมองเห็นถึงปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม และยังจะเป็นการกระตุ้นเตือนให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันทำความเข้าใจและไม่ทอดทิ้งปัญหา ทั้งเรื่องความรุนแรงในครอบครัว และเรื่องของการค้าประเวณีเด็ก ที่ยังคงพบเห็นอยู่ในหลายภูมิภาคในประเทศไทย ผมหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นทุกภาคส่วนของประเทศต่างหันหน้ามาร่วมกันระดมความคิดแก้ไขปัญหาสังคม เช่นในกรณีนี้ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับสังคมของเรา และหวังจะเห็นชีวิตของเด็กอีกนับพันชีวิตได้หลุดพ้นจากเส้นทางการกดขี่ทางเพศ การค้าประเวณี และปัญหาความรุนแรงในครอบครัว”
นางสุวดี จงสถิตย์วัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท นานมีบุ๊คส์ จำกัด กล่าวว่า “ปฎิเสธไม่ได้ว่าอาชีพโสเภณีที่ทำให้หญิงสาวเหล่านี้ต้องเผชิญสภาพชีวิตอันน่าหดหู่นั้น สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนไปยังส่วนต่างๆ ของระบบเศรษฐกิจ สถานประกอบการ และอาชีพต่างๆ มากมาย เพราะถือเป็นอาชีพที่ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาแสวงหาความสุขทางเพศเป็นจำนวนมหาศาล เม็ดเงินมีจำนวนมากพอที่จะทำให้หัวใจของผู้ใหญ่หลายๆ คนด้านชาจนหลงลืมคิดถึงหัวใจของเด็กๆและหญิงสาวเหล่านั้นไป นานมีบุ๊คส์ ตระหนักดีว่าการค้าประเวณีเด็กถือเป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังและยากจะแก้ไขในเร็ววัน แต่เราหวังว่าหนังสือ “แค่13” จะเป็นอีกหนึ่งเสียงสำคัญที่จะปลุกเร้าจิตใต้สำนึกของผู้ใหญ่หลายๆคนได้เกิดความตระหนักกันมากขึ้นเพื่อร่วมกันลดปัญหาดังกล่าว ไม่เพียงแต่ปัญหาการค้าประเวณีเด็ก การกดขี่ทางเพศ แต่ยังรวมไปถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวอีกด้วย อีกทั้งมีส่วนช่วยป้องกันเด็กๆ ให้รู้เท่าทัน ไม่ให้หลงผิดเดินเข้าสู่เส้นทางการค้าประเวณีอีกต่อไป”
“แค่ 13” หนังสือชีวประวัติสาวไทยที่สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัวบีบบังคับให้เธอต้องหนีออกจากบ้านและเดินเข้าสู่สังคมขายบริการทางเพศตั้งแต่อายุ 13 ปี เธอเข้าสู่วังวนของ sex-tourism ระบำเปลื้องผ้า ยิ่งเธอมีรายได้จากการยอมรับการกระทำที่วิตถารและน่าอดสูจากลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้นเท่าไร แม่ก็ยิ่งเรียกร้องเงินจากเธอมากขึ้นเท่านั้น เธอต้องรับแขกเป็นร้อยๆ ราย เคยทำแท้งเมื่ออายุ 15 ปี ผ่านชีวิตคู่ที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในเวลาอันสั้น ถูกพรากจากลูกเพราะมีปัญหาสุขภาพจิต ฯลฯ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนเธออายุครบ 18 ปีเสียอีก
ผู้อ่านจะได้เข้าใจชีวิตของหญิงสาวที่เกิดมาในสภาพยากแค้น ได้เห็นการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดของเธอ ได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิด เข้าใจมุมมองและรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเธอ รวมถึงได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ที่น่ายินดีเมื่อเธอสามารถก้าวออกจากอุตสาหกรรมการค้าบริการทางเพศได้
เรื่องราวของลอนก่อให้เกิดโครงการต่างๆ ดำเนินการโดยมูลนิธิสายน้ำ (ตั้งอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์) เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ช่วยเหลือเด็กสาวที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงให้ขายบริการทางเพศ หนังสือเล่มนี้เคยติดอันดับ Bestseller ในต่างประเทศ
มาร่วมกันตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว การกดขี่ทางเพศ และการค้าประเวณี เพื่อช่วยเหลือเด็กสาวเคราะห์ร้ายจำนวนมากไปกับหนังสือ “แค่ 13” จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายโดย บริษัท นานมีบุ๊คส์จำกัด ในราคา 235 บาท วางจำหน่ายแล้วที่ร้านแว่นแก้วทุกสาขา และร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Nanmeebooks Call Center 02 662 3000กด 1 www.nanmeebooks.comและwww.facebook.com/nanmeebooksfan