NBTC Policy Watch ชี้ร่างกฎหมายดิจิทัลฯ ขาดวิสัยทัศน์เชิงปฏิบัติ ไร้กระบวนการมีส่วนร่วมร่วม และเป็นการดึงอำนาจจัดสรรคลื่นและใช้งบประมาณกลับไปสู่หน่วยงานโดยขาดการทำงานร่วมกับ กสทช.

จันทร์ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๕ ๑๓:๐๖
วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 โครงการติดตามนโยบายสื่อและโทรคมนาคม (NBTC Policy Watch) จัดเสวนาในหัวข้อ “บทบาท กสทช. ภายใต้เศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล: ร่างกฎหมายดิจิทัลฯ ตอบโจทย์หรือไม่?” ที่คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง นักวิจัยประจำโครงการฯ ชี้ว่าร่างกฎหมายดิจิทัลฯ ใหม่มีการเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ของ กสทช. หลัก 4 ประการ คือ 1) ดึงอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่กลับไปยังหน่วยงานรัฐ โดย กสทช. ต้องนำเสนอแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่ให้คณะกรรมการดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับรอง 2) สนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐได้ใช้คลื่นความถี่มากขึ้น 3) เปลี่ยนวิธีการให้ใบอนุญาตในกิจการโทรคมนาคมและกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ประเภทธุรกิจจากการประมูลเป็นการคัดเลือก และ 4) ยุบกองทุน กสทช. และโยกงบประมาณไปยังกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

นักวิจัยตั้งข้อสังเกตดังนี้

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเป็นการโยกอำนาจการจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งควรเป็นอิสระจากหน่วยงานรัฐที่เคยได้รับผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรสื่อสารดังกล่าว กลับไปสู่มือของหน่วยงานรัฐ รวมถึงหากพิจารณาถึงโครงสร้างคณะกรรมการดิจิทัลฯ ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนของหน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่ถือเป็นผู้ประกอบการอย่างบริษัท ทีโอที และ กสท โทรคมนาคม การกำหนดนโยบายและแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่อาจเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานรัฐเป็นหลัก

การประมูลเป็นวิธีจัดสรรใบอนุญาตที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ โดยเฉพาะในกิจการโทรคมนาคม หากมีการจัดสรรใบอนุญาตโดยวิธีอื่นที่เปิดให้ กสทช. ใช้ดุลยพินิจมากเกินไป สาธารณะอาจเสียประโยชน์จากรายได้ที่เข้ารัฐ และส่งผลต่อการแข่งขันที่เป็นธรรม เช่น ไม่เป็นธรรมต่อทีวีดิจิทัล 24 ช่องที่ประมูลไปก่อนหน้า

การยุบกองทุน กสทช. และโยกงบประมาณไปให้กับกองทุนพัฒนาดิจิทัลฯ อาจก่อปัญหาทั้งในเรื่องความโปร่งใสและเป้าหมายในการใช้งบประมาณ เนื่องจากร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุนดิจิทัลฯ ไม่ระบุกลไกถ่วงดุลตรวจสอบการใช้เงินและขาดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน รวมถึงเป้าหมายบางอย่างของกองทุน กสทช. ตามกฎหมายก็หายไป อาจส่งผลให้การสนับสนุนในมิติทางด้านสังคม การสนับสนุนการรวมตัวกันของภาควิชาชีพสื่อ ขาดหายไป

นอกจากนั้น นักวิจัยยังศึกษาประสบการณ์ของประเทศสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียพบว่า

กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลของต่างประเทศดึงการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียที่หลากหลาย เปิดช่องทางการรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย และใช้งานวิจัยในการผลักดันนโยบาย ซึ่งต่างจากของไทยที่การร่างกฎหมายดิจิทัลฯ นั้นขาดการมีส่วนร่วม กระทั่ง กสทช. ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงและได้รับผลกระทบจากกฎหมายยังไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในการให้ความคิดเห็น

มีข้อเสนอเชิงรูปธรรมที่ชัดเจนและมีแผนในการลงมือปฏิบัติ ต่างจากของไทยที่กฎหมายกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดิจิทัลฯ ไว้กว้างๆ โดยขาดวิสัยทัศน์และแผนลงมือปฏิบัติที่ชัดเจน

ในแง่ของการทำงานร่วมกับองค์กรกำกับดูแล หน่วยงานรัฐจะทำงานร่วมกับองค์กรกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อให้นำไปปฏิบัติ นอกจากนั้นในกรณีของสหราชอาณาจักรยังมีการออกกฎหมาย Digital Economy Act เพื่อเพิ่มบทบาทหน้าที่ของ Ofcom ให้เหมาะกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ต่างจากของไทยที่โครงสร้างการทำงานใหม่นั้น กสทช. ไม่ได้ทำงานในลักษณะความร่วมมือกับคณะกรรมดิจิทัลฯ แต่เป็นการดึงอำนาจในการจัดทำแผนแม่บทการบริหารคลื่นความถี่และการใช้งบประมาณของกองทุน กสทช. เท่านั้น

เมื่อพิจารณาจากประสบการณ์ต่างประเทศ วรพจน์เสนอว่า

นโยบายเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม หน้าที่ของ กสทช. ตามกฎหมายหลายส่วนเกี่ยวพันกับการสนับสนุนเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลอยู่แล้ว เช่น การจัดสรรคลื่นความถี่ การส่งเสริมบริการทั่วถึงและเท่าเทียม การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวของประชาชน ฯลฯ ดังนั้น กสทช. ควรจัดทำเป้าหมายเชิงนโยบายที่ชัดเจนในการผลักดันเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัลภายใต้ของเขตอำนาจของตน เช่น การออกนโยบายรักษาความเป็นส่วนตัว หรือจัดทำแผนศึกษาการขยายโครงข่ายบรอดแบนด์ ฯลฯ

คณะกรรมการดิจิทัลฯ ควรเป็นหน่วยงานที่จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายให้กับรัฐบาลเป็นหลัก และทำงานร่วมกับองค์กรที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องอยู่แล้วเพื่อสร้างและผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล

รัฐบาลไม่ควรแทรกแซงความเป็นอิสระของ กสทช. โดยเฉพาะเมื่อตนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของ กสทช.

แนวโน้มการกำกับดูแลในต่างประเทศเป็นไปในทิศทางที่ปล่อยให้ตลาดทำงานมากขึ้น รัฐบาลควรเน้นส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อเศรษฐกิจ-สังคมดิจิทัล และแทรกแซงก็ต่อเมื่อศึกษาแล้วพบว่าตลาดไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายนั้นได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ