มาสเตอร์โพลล์ (Master Poll) สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเปิดเวทีกลางรับฟังความคิดเห็นในประเด็นการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลี่ยมรอบที่ 21

อังคาร ๐๓ มีนาคม ๒๐๑๕ ๑๒:๐๗
มาสเตอร์โพลล์ (Master Poll) ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเปิดเวทีกลางรับฟังความคิดเห็นในประเด็นการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลี่ยมรอบที่ 21

คณะผู้วิจัยของชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์(Master Poll) เรื่อง สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการเปิดเวทีกลางรับฟังความคิดเห็นในประเด็นการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลี่ยม รอบที่ 21: กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ) ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2558 ด้วยเทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบเชิงชั้นภูมิหลายชั้น (Stratified Multi-Stage sampling) ในการเข้าถึงผู้ตอบแบบสอบถามและความคลาดเคลื่อนบวกลบร้อยละ 7 ซึ่งเป็นวิธีการสุ่มที่คำนึงถึงความเป็นไปได้ทางสถิติ และมีความเป็นตัวแทนของกลุ่มประชากรเป้าหมายที่ดำเนินการสำรวจ โดยมีขนาดตัวอย่าง จำนวนทั้งสิ้น 1,200 ตัวอย่าง โดยผลสำรวจที่สำคัญค้นพบว่า

ผลการสำรวจการติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนในช่วง 30 วันที่ผ่านมา พบว่าตัวอย่างร้อยละ 22.1 ระบุติดตามทุกวัน/เกือบทุกวัน ในขณะที่ร้อยยละ 28.7 ระบุติดตาม 3-4 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 30.7 ระบุติดตาม 1-2 วันต่อสัปดาห์ ร้อยละ 14.7 ระบุน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง และร้อยละ 3.8 ระบุไม่ได้ติดตามเลย

ทั้งนี้เมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามตัวอย่างถึงการติดตามรับชมการถ่ายทอดสดการเสวนาเวทีกลางเกี่ยวกับพลังงาน เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้นพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 14.7 ระบุติดตามทุกประเด็น ในขณะที่ร้อยละ 51.3 ระบุติดตามบ้างเป็นบางประเด็น ในขณะที่ร้อยละ 34.0 ระบุไม่ได้ติดตาม

นอกจากนี้ผลการสำรวจพบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่คือ ร้อยละ 84.4 ระบุเห็นด้วยที่รัฐบาลเปิดเวทีกลางเสวนารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในประเด็นการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลี่ยมครั้งที่ 21 โดยระบุเหตุผลว่า ประชาชนจะได้รับฟังข้อคิดเห็นและปัญหาของแต่ละฝ่าย/รัฐบาลจะได้ความคิดเห็นที่หลากหลายประกอบการตัดสินใจ/ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งของภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ /จะได้เลือกข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุด/เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย/เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในสังคม/เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศ ประชาชนทุกคนจึงมีสิทธิรับรู้ข้อมูล ในขณะที่ร้อยละ 15.6 ระบุไม่เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากดูละครน้ำเน่า/ไม่จริงใจในการแลกเปลี่ยน/เสียเวลา/สิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่จำเป็น/ไม่มีใครจริงใจในการแก้ปัญหามีแต่การเถียงกัน ไม่มีประโยชน์ /เปิดเวทีไปก็เท่านั้น เพราะไม่ได้เอาข้อมูลมาใช้จริง

สำหรับความคิดเห็นของตัวอย่างต่อความเหมาะสมของการถ่ายทอดสดการเสวนาเวทีกลางเกี่ยวกับพลังงานเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลโดยพร้อมกัน นั้นพบว่า ร้อยละ 89.9 ระบุคิดว่าเหมาะสม โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องของส่วนรวมที่ประชาชนควรได้รับรู้รับทราบ/ประชาชนจะได้รับรู้รับทราบข้อมูลรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น/เป็นการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัว/เป็นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารอีกทางหนึ่ง/เป็นการยืนยันความโปร่งใสในการดำเนินงาน/ลดความขัดแย้ง /เป็นช่องทางในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทุกฝ่าย ในขณะที่ร้อยละ 10.1 ระบุคิดว่าไม่เหมาะสม เพราะ อาจทำให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มประชาชนที่เห็นต่าง/อาจมีข้อมูลบางอย่างที่ไม่ควรนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ/เป็นเรื่องยากที่ประชาชนทั่วไปอาจไม่เข้าใจ/เป็นการเสียเวลาและสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่คุ้มค่า/ควรดำเนินการเป็นการภายในเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า/ความมั่นคงทางด้านพลังงานไม่ได้เกิดจากการเสวนาบนเวที ทั้งนี้ตัวอย่างร้อยละ 82.5 เห็นว่าการเปิดให้มีการถ่ายทอดสดนั้นแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงใจ ในขณะที่ ร้อยละ 17.5 ระบุคิดว่ารัฐบาลยังไม่มีความจริงใจ

ประเด็นสำคัญที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้คือ เมื่อสอบถามความคิดเห็นของตัวอย่าง กรณีความสำคัญของการสำรวจปิโตรเลี่ยม เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศ นั้นผลการสำรวจพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 85.9 ระบุคิดว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยให้เหตุผลว่า เพื่ออนาคตของคนรุ่นหลัง/จะได้วางแผนการใช้พลังงานได้อย่างถูกต้อง/มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ/เกรงว่าในอนาคตอาจเกิดปัญหาการขาดแคลนพลังงาน/พลังงานเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตของประชาชน และการพัฒนาประเทศชาติ/ปัจจุบันพลังงานลดน้อยลงทุกที ต้องเตรียมความพร้อม/จะได้มีแหล่งพลังงานสำรอง ในขณะที่ร้อยละ 14.1 ระบุ คิดว่าไม่สำคัญ เพราะ ถึงอย่างไรประชาชนก็ยังต้องซื้อพลังงานในราคาที่แพงอยู่ดี มีเพียงคนบางกลุ่มได้ผลประโยชน์/ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ประโยชน์/สำรวจไปก็เหมือนเดิม สิ้นเปลืองทั้งงบประมาณและเวลา

และเมื่อสอบถามถึงความมั่นใจในข้อมูลเกี่ยวกับการสำรวจขุดเจาะปิโตรเลี่ยมเปรียบเทียบระหว่างหน่วยงานต่างๆ นั้นพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 33.0 ระบุมั่นใจในข้อมูลของหน่วยงาน/กระทรวง กรม ของภาครัฐมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 9.2 ระบุมั่นใจในข้อมูลของหน่วยงาน/ฝ่ายที่เห็นแย้งมากกว่า ร้อยละ 29.7 ระบุมั่นใจในข้อมูลของทั้งสองฝ่ายพอๆกัน และร้อยละ 28.1 ระบุไม่มั่นใจในข้อมูลของทั้งสองฝ่าย

อย่างไรก็ตามเมื่อสอบถามความคิดเห็นของตัวอย่างกรณี ความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เพื่อป้องกันมิให้เกิดการขาดแคลนพลังงานในอนาคต นั้นพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 90.4 ระบุคิดว่าจำเป็น เพราะ เป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนโดยตรง/ถ้าพลังงานไม่พอใช้ จะไม่สามารถพัฒนาประเทศได้/ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้นทุกปี/หวังว่าจะมีสักวันที่คนไทยได้ใช้พลังงานในราคาที่ถูกลง/กันไว้ดีกว่าแก้/จะได้ไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติมาก/ถ้ามีการวางแผนดี จะช่วยลดผลกระทบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้/ช่วยรักษาสมดุลย์ของทรัพยากรธรรมชาติ ในขณะที่ร้อยละ 9.6 ระบุคิดว่าไม่จำเป็น เพราะ คิดว่ามีพอใช้อยู่แล้ว/เป็นผลประโยชน์เฉพาะคนบางกลุ่ม ไม่ใช่ของประชาชนทั้งประเทศ/ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นดีกว่า

สำหรับความคิดเห็นของตัวอย่างต่อข้อมูลเกี่ยวกับการสัมปทานปิโตรเลี่ยมว่าเป็นข้อมูลทางด้านเทคนิคเฉพาะ หรือเป็นข้อมูลที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ นั้นผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 50.7 ระบุคิดว่าเป็นข้อมูลทางด้านเทคนิคเฉพาะ ในขณะที่ร้อยละ 49.3 ระบุคิดว่าป็นข้อมูลที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ และเมื่อให้ตัวอย่างจัดอันดับความสำคัญของประเด็นเกี่ยวกับการสัมปทานปิโตรเลี่ยมนั้น พบว่า อันดับ 1 คือ โอกาสที่ประเทศจะพบแหล่งก๊าซมากขึ้น (คิดเป็นร้อยละ 35.8 ค่าร้อยละที่ถ่วงน้ำหนักแล้ว) อันดับที่ 2 คือ การกำหนดเงื่อนไข ผลประโยชน์ให้รัฐได้เงินมากขึ้น (คิดเป็นร้อยละ 32.2 ค่าร้อยละที่ถ่วงน้ำหนักแล้ว) และอันดับที่ 3 คือ กระบวนการคัดเลือกผู้รับสัมปทานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ (คิดเป็นร้อยละ 32.0 ค่าร้อยละที่ถ่วงน้ำหนักแล้ว)

ประเด็นสำคัญสุดท้ายที่ค้นพบจากการสำรวจในครั้งนี้ คือเมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเห็นของตัวอย่างกรณี การตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับการสัมปทานปิโตรเลี่ยมนี้โดยเร็ว นั้นผลการสำรวจพบว่า ร้อยละ 87.1 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 12.9 ระบุไม่เห็นด้วย ทั้งนี้หน่วยงานที่เห็นว่าจะสามารถให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนต่อประชาชนเกี่ยวกับการสำรวจปิโตรเลี่ยม คือ กระทรวงพลังงาน (ร้อยละ 70.9) รองลงมาคือนักวิชาการ (ร้อยละ 53.4) สื่อมวลชน (ร้อยละ 42.2) บริษัทเอกชนด้านพลังงาน (ร้อยละ 32.2) NGO (ร้อยละ 15.4 ) และหน่วยงานอื่นๆ อาทิ เครือข่ายประชาสังคมต่างๆ /องค์กรระหว่างประเทศ /ผู้ที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญโดยตรง (ร้อยละ 3.6) ตามลำดับ

คุณลักษณะทางประชากรของผู้ตอบแบบสอบถาม

จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่างพบว่า ร้อยละ 48.1 เป็นเพศชาย ในขณะที่ร้อยละ 51.9 เป็น เพศหญิง ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามช่วงอายุ พบว่าตัวอย่างร้อยละ 5.6 ระบุอายุต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 16.6 ระบุอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 22.8 ระบุอายุ 30-39 ปี ร้อยละ 22.7 ระบุอายุ 40-49 ปี และร้อยละ 32.3 ระบุอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาระดับการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุดพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 24.5 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/ต่ำกว่า ในขณะที่ร้อยละ 28.5 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช./เทียบเท่า ร้อยละ 14.1 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ป.ว.ส./เทียบเท่า ร้อยละ 30.0 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และร้อยละ 2.9 ระบุสำเร็จการศึกษาสูงกว่าระดับปริญญาตรี

นอกจากนี้ ตัวอย่างร้อยละ 29.5 ระบุประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ร้อยละ 20.3 ระบุเป็นลูกจ้าง/พนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 15.6 ระบุอาชีพรับจ้างทั่วไป/เกษตรกร ร้อยละ 11.2 ระบุอาชีพข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 10.9 ระบุเป็นแม่บ้าน/พ่อบ้าน/เกษียณอายุ ร้อยละ 9.3 ระบุเป็นนักเรียน/นักศึกษา ในขณะที่ร้อยละ 3.2 ระบุว่างงาน/ไม่ได้ประกอบอาชีพ

และเมื่อพิจารณาจำแนกตามรายได้ส่วนตัวต่อเดือนพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 9.3 ระบุมีรายได้ไม่เกิน 5,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 27.0 ระบุมีรายได้ 5,001—10,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 24.6 ระบุมีรายได้ 10,001-15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 23.5 ระบุมีรายได้ 15,001-20,000 บาทต่อเดือน และร้อยละ 15.6 ระบุมีรายได้ส่วนตัวมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายได้รวมของครอบครัวต่อเดือนพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 22.8 มีรายได้รวมของครอบครัวไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่ร้อยละ 77.2 ระบุมีรายได้ครอบครัวรวมมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ตามลำดับ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version