อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยยังเสนอทางเลือกสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก โดยจะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีวาย (KPPTF3MDY) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารภายในประเทศ ซึ่งประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 1.60% ต่อปี และลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค เอ็มพลัส (K-MPLUS) ซึ่งอยู่ในกลุ่มกองทุนรวมตราสารหนี้ ของบลจ.กสิกรไทย
นายนาวินกล่าวต่อไปว่า สำหรับตราสารหนี้ที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน ดับบลิว (KEFF3MW) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ T.C. Ziraat Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., ประเทศบราซิล และด้านกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอเอ็กซ์ (KEFF6MAX) เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Garanti Bank, ประเทศตุรกี, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง, ตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี, ตราสารหนี้ Banco Santander (Brasil) S.A. และตราสารหนี้ Banco Bradesco S.A., ประเทศบราซิล โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และเป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนต้องลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท
ด้านสถานการณ์เศรษฐกิจล่าสุด นายนาวินกล่าวว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ปรับลดคาดการณ์จีดีพี ในปีนี้ ลงเหลือ 3.8% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะอยู่ที่ 4% สาเหตุเนื่องมาจากตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4/2557 ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ อาทิ การใช้จ่ายภายในประเทศที่ปรับลดลงทั้งภาครัฐและเอกชน และการใช้จ่ายด้านการลงทุนของรัฐบาลที่ล่าช้า นอกจากนี้ยังได้ปรับลดตัวเลขการส่งออกจาก 1% เหลือ 0.8% ด้วย เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าขยายตัวต่ำกว่าที่คาด โดยเฉพาะจีนและเอเชีย ขณะที่ราคาสินค้าส่งออกที่ต่ำลง ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับการลดลงของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย
ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ไม่มาก แต่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ บลจ.กสิกรไทยจึงขอแนะนำทางเลือกในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวและมีความไม่ชัดเจนนี้ ด้วยการลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ประเภทกำหนดอายุโครงการ เพื่อเป็นการพักเงินและรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจในระยะต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KEFF3MW กองทุน KEFF6MAX และกองทุน KPPTF3MDY สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 หรือที่ www.kasikornasset.com